Skip to main content

Featured

[Wrap Up + Replay] 2400 Inner System Blue : Missing Cyber Doc

หน้าปกเกม 2400 : Inner System Blues Introduction เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนปีที่แล้วหลังจากที่เราห่างหายการรัน TRPG ไปนานราวๆ 3 เดือน เราคิดว่าจะลองรันแบบ Play by Post หรือการ TRPG ผ่านทางการพิมพ์หรือการตั้งกระทู้ดู น่าจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์หลังจากที่สถานการณ์โควิดดีขึ้นจนมีเวลาว่างไม่มากเท่าแต่ก่อน หลังจากทำการค้นข้อมูลสักพักจากเว็บบอร์ดต่างประเทศ รวมทั้งคลิป Youtube ที่แชร์ประสบการณ์การ Play by Post ทั้งที่ประสบความสำเร็จและที่ล้มเหลว เราก็ได้เลือกระบบเกมและร่างพล็อตของเกมขึ้นมา หลังจากนั้นจึงรับสมัครผู้เล่นใน Discord ของกลุ่ม Onion Knight Table  และเล่นกันในกลุ่ม เริ่มเล่นตั้งแต่เดือนมิถุนายน ลากยาวมาจนจบในช่วงเดือนธันวาคม รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน

[Replay] ตำนานเมืองดาราสมุทร Powered by FATE

ศาลเจ้าโอวกง (สถานที่สมมติ) ที่มา

Setting

ดาราสมุทร เมืองที่สิ่งลี้ลับและปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติปรากฏขึ้นบ่อยครั้ง แม้ชาวเมืองที่อยู่มานานจะค่อนข้างคุ้นชินและมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเหล่านี้ไม่ต่างกับสิ่งอื่นๆในชีวิตประจำวัน แต่สุดท้ายแล้วพวกมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชาวเมืองรู้สึกสะดวกใจนักเพราะความเข้าใจที่พวกเขามีต่อสิ่งต่างๆเหล่านั้นช่างน้อยนิดเมื่อเทียบกับส่วนที่ยังซ่อนอยู่ในเงามืด

ชาวเมืองดาราสมุทรนั้นนอกจากจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งลี้ลับเหล่านี้แล้ว พวกเขาบางคนยังเกิดมาพร้อมกับความสามารถพิเศษที่เรียกว่า “ชะตาดาว” ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งลี้ลับได้หรือสามารถใช้มันเพื่อขยายอำนาจจิตของตัวเองก็ได้ แต่ความสามารถนี้ก็มาพร้อมกับข้อแม้บางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นชายคนหนึ่งได้ถือครองชะตาดาวที่ชื่อว่า “ลางเลือนลาลับ” ที่สามารถบอกได้ว่าคนที่คิดถึงอยู่นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว และสามารถหาตำแหน่งคร่าวๆของคนคนนั้นหรือว่าสิ่งที่หลงเหลือหลังการตายได้ แต่ข้อแม้ของความสามารถพิเศษนี้คือเขาจะมีตัวตนอยู่ได้เมื่อมีคนยังคิดถึงเขาอยู่เท่านั้น วันใดที่ไม่มีใครคิดถึงเขาแล้ว ตัวตนของเขาก็จะสลายไป

แนะนำตัวละคร

นักสืบ


โทมัส นักสืบจากต่างเมืองที่มาเปิดสำนักงานที่เมืองดาราสมุทร

เป็นเวลาโพล้เพล้แล้วเมื่อประตูของสำนักงานนักสืบเปิดออก โทมัสที่กำลังนั่งเบื่อกับช่วงเวลาว่างงานหันไปมองผู้มาเยือน หล่อนเป็นผู้หญิงวัยรุ่น เดินเข้ามาพลางมองไปรอบๆด้วยความไม่มั่นใจ เป็นไปได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอใช้บริการนักสืบเอกชน

โทมัสทักทายหญิงสาวและแนะนำตัวก่อน หญิงสาวจึงคลายความกังวลไปได้บ้างและแนะนำตัวกลับ เธอชื่อจอย เป็นชาวเมืองดาราสมุทรที่ย้ายไปอาศัยที่เมืองอื่น เขาเชิญให้เธอนั่งก่อนที่จะคุยรายละเอียดอื่นๆ

เธอหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นมา เป็นรูปถ่ายคู่ของเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายในชุดนักเรียน เธอบอกว่านี่คือรูปของเธอกับเพื่อนคนหนึ่งที่สนิทกันมากในสมัยเรียนอยู่ที่เมืองนี้ หลังจบมัธยมต้นทั้งเขาและเธอต่างแยกย้ายไปต่างเมืองและไม่ได้ติดต่อกันอีก ช่วงนี้เธอย้ายกลับมาที่ดาราสมุทรจึงถือโอกาสออกตามหาข่าวคราวของเพื่อนเก่าคนนี้ แต่ไม่ว่าจะถามจากเพื่อนบ้านหรือว่าคนรู้จักก็ไม่มีใครมีข้อมูลเลย เธอรุ้สึกจนปัญญาจึงได้ตัดสินใจมาใช้บริการนักสืบเอกชน

โทมัสรับรูปมาดู เขาคิดว่าพอคุ้นกับชุดนักเรียนนี้อยู่ หลังจากสอบถามข้อมูลเบื้องต้น เธอบอกว่าเพื่อนของเธอชื่อบอส ขื่อจริงชื่อ นพดล ฟิลลิป เรียนห้องเดียวกับเธอที่โรงเรียนประจำเมืองดาราสมุทรเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว โทมัสจึงคิดว่าจะลองไปหาข้อมูลที่โรงเรียนแห่งนั้นดู เขาพอรู้จักกับอาจารย์ที่นั่นอยู่บ้าง บางทีเขาอาจหาเบาะแสเพิ่มเติมได้จากที่นั่น

ก่อนที่โทมัสจะออกไปหาเบาะแส จอยได้ให้เบอร์เพจเจอร์ของเธอเอาไว้


นักเรียน

นากามูระ เด็กนักเรียนผู้มีสัมผัสพิเศษและผีเด็กตามติด


เป็นเวลาเย็นมากแล้วในตอนที่นากามูระเข้าไปตรวจดูห้องเรียนวิทยาศาสตร์ที่เขาเรียนเป็นคาบสุดท้ายอีกครั้ง ที่จริงเขาควรจะได้กลับบ้านตั้งแต่กระดิ่งเลิกเรียนดังขึ้นเมื่อตอนบ่ายแก่แต่เขากลับหากระเป๋านักเรียนของตัวเองไม่เจอ เขาแทบจะรู้ในทันทีว่ามันต้องเป็นฝีมือของเจ้าผีเด็กที่ตามติดเขาอยู่เป็นแน่ แต่ถึงจะรู้ว่าเป็นฝีมือใครเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่ากระเป๋าอยู่ที่ไหน ดังนั้นเขาจึงต้องไล่หาไปทีละห้อง

เขามาถึงโต๊ะตัวในสุดพร้อมกับลางสังหรณ์บางอย่าง เมื่อเขาก้มดูที่ใต้โต๊ะเขาก็พบเจ้าผีเด็กนั่งคุ้ดคู้กอดกระเป๋าพลางยิ้มยิงฟันให้กับเขา เขาได้แต่สบถออกมาเบาๆก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋านักเรียน


นักศึกษา

 
บีลีฟ นักศึกษาที่รีไทร์เพราะหมกมุ่นกับคำทำนายวันสิ้นโลก


บีลีฟเคยเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกีฬาแห่งหนึ่ง ที่จริงเขาก็น่าจะเรียนจบและออกไปหาการหางานทำแบบคนอื่นถ้าเขาไม่ได้ไปพบกับหนังสือเล่มหนึ่งเข้าเมื่อตอนปีสอง มันเป็นหนังสือเก่าแก่เล่มหนาที่เขียนเกี่ยวกับวันสิ้นโลกและเรื่องราวลึกลับต่างๆ เขาถูกมันดึงดูดตั้งแต่ครั้งแรกที่เปิดอ่านและเชื่อถือมันเป็นจริงเป็นจังกว่าที่ควร เขาเชื่อว่าวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงและไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเรียนต่อ สุดท้ายแล้วเขาก็ถูกรีไทร์ออกมาเพราะหมดใจที่จะเรียน

และตั้งแต่นั้นมาเขาก็ออกเดินทางไปยังสถานที่ที่ระบุเอาไว้ในหนังสือเล่มนั้น จนมาวันนี้ที่เขามาถึงศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งในเมืองดาราสมุทร ในตอนนั้นเป็นเวลาโพล้เพล้ แสงอาทิตย์เริ่มจางลงไปแต่ก็ยังไม่มืดสนิท เขามองสำรวจรอบๆศาลเจ้าแต่ก็ไม่พบอะไรที่น่าสนใจ บางทีเขาเองก็แอบสงสัยเหมือนกันว่าทำไมหนังสือเกี่ยวกับวันสิ้นโลกถึงได้เขียนเกี่ยวกับศาลเจ้าที่ดูธรรมดาอย่างนี้ลงไปด้วย

ในขณะที่กำลังอ่านทบทวนข้อความในหนังสืออีกรอบเขาก็เหลือบไปเห็นชายร่างใหญ่คนหนึ่งเดินอยู่ในซอยใกล้เคียง ท่าทางเขาไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ดูแล้วคล้ายพวกอันธพาล เขาจึงพยายามไม่มองไปในทางที่ชายคนนั้นอยู่และพยายามมองหาสิ่งที่น่าสนใจในตัวศาลเจ้าแทน

ในทันทีที่เขาเบนสายตากลับมาที่ศาลเจ้าอีกครั้งเขาก็ได้เห็น “สิ่งที่น่าสนใจ” ที่ว่า เขาเห็นชายชราร่างผอมแห้งคนหนึ่งนั่งยองๆอยู่บนแท่นบูชาในศาล ผิวของชายชราเป็นสีดำสนิทเหมือนถ่านไม้ นัยน์ตาเป็นสีขาวโพลน มีเพียงจุดเล็กๆตรงกลางลูกตาพอให้ดูรู้ว่าเป็นตาดำ และก่อนที่ชายชราในศาลจะได้ทำอะไรบีลีฟก็ออกวิ่งสุดฝีเท้าด้วยความตกใจ

นักเลง


 
พราณ นักเลงทวงหนี้ผู้ชาชินกับความรุนแรง


พราณอยู่ที่เมืองนี้มานาน เขาเป็นอันธพาลแก๊งหมีใหญ่ที่คอยตามเก็บหนี้ให้กับเสี่ย ห้าปี แปดปี สิบปี กี่ปีมาแล้วเขาเองก็จำไม่ค่อยได้ แต่ที่แน่ๆคือมีคนมากมายหมดสติและสภาพภายใต้กำปั้นของเขานับไม่ถ้วน มากเสียจนเขาชินชา และชินชามากเสียจนปราศจากความลังเลเมื่อต้องลงหมัด

วันนี้เขาได้รับการไหว้วานจากเสี่ยให้มาเก็บหนี้จากเด็กนักศึกษาคนหนึ่งที่กู้หนี้ไปแทงบอล เสี่ยให้ข้อมูลมาแค่ที่อยู่และปล่อยให้เขาไปตามงานต่อเอง เขาจึงต้องเดินมาดูลาดเลาที่ชุมชนแห่งนี้ มันเป็นชุมชนเก่าที่เงียบเหงา มีห้องแถวถูกทิ้งร้างในทุกซอยที่เขาเดินผ่าน พราณจำได้ว่าเมื่อก่อนที่นี่คึกคักกว่านี้

เขาเดินสำรวจจนมาถึงศาลเจ้าร้าง เขาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาด้อมๆมองๆอยู่ที่ศาลเจ้านั้น ในชั่วขณะหนึ่งเหมือนเขาได้สบตากับเด็กหนุ่มคนนั้น และในเวลาต่อมาเขาก็เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเริ่มออกวิ่งเหมือนกับตกใจอะไรสักอย่าง ด้วยสัญชาตญาณ เขาคิดว่าเขาเจอตัวลูกหนี้ของเสี่ยแล้ว

พราณจึงออกวิ่งตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป


Scene 1: เหล่าผู้ที่ติดอยู่ในโรงเรียน

บีลีฟวิ่งหนีมาจนถึงหน้าโรงเรียนก่อนถูกพราณที่วิ่งไล่มาทันกระชากคอเสื้อเข้า เขาขู่บีลีฟให้คืนเงินที่ยืมเสี่ยมาก่อนที่เขาจะเจ็บตัว ซึ่งบีลีฟที่เป็นคนจากต่างเมืองและเพิ่งมาถึงเมืองนี้นั้นไม่ได้รู้เรื่องเงินกู้ที่ว่าเลย ทั้งสองจึงต้องใช้เวลากันสักพักกว่าที่จะปรับความเข้าใจกันได้ว่าพราณนั้นตามทวงหนี้ผิดคน

พอเข้าใจกันดีแล้วพราณจึงขอตัวกลับ ส่วนบีลีฟผู้เชื่อเรื่องลี้ลับแบบหัวปักหัวปำแยกไปสำรวจในโรงเรียน (ตามความเชื่อที่ว่าโรงเรียนยิ่งเก่ายิ่งมีสิ่งลี้ลับมาก) พราณเดินกลับออกไปทางถนนหน้าโรงเรียน เขาเดินลัดเลาะผ่านตึกแถวต่างๆตามความเคยชิน และเมื่อเขาเลี้ยวผ่านหัวมุมตึกแถวห้องสุดท้ายที่จะนำเขาไปสู่ถนนใหญ่ เขาก็พบว่าเขากลับมายืนอยู่ที่หน้าโรงเรียนอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว

ในตอนนั้นเองที่โทมัสเดินทางมาถึงโรงเรียนพอดีและพบเข้ากับพราณที่กำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองคนวนเวียนอยู่ในโลกสีเทาของดาราสมุทรมาเป็นเวลานานดังนั้นจึงพอคุ้นหน้าคุ้นตากัน เมื่อโทมัสเดินผ่านก็พยักหน้าทักทายกันพอเป็นพิธี ซึ่งในตอนนั้นเองที่นากามูระเดินออกมาจากโรงเรียน

เมื่อโทมัสเห็นเด็กนักเรียนจึงได้เข้าไปทักทายและยื่นรูปให้ดูเพื่อถามหาเบาะแสของเด็กในรูป นากามูระบอกว่าไม่รุ้จัก เพราะตนก็เพิ่งเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนี้ตอนมัธยมปลาย อีกอย่างคือเครื่องแบบนนักเรียนในรูปนี้ก็แตกต่างจากที่เขาใส่อยู่ บางทีโทมัสอาจมาหาเบาะแสผิดโรงเรียนก็ได้ เมื่อตอบแล้วนากามูระจึงขอตัวกลับ

เช่นเดียวกันกับพราณ นากามูระนั้นรู้จักเส้นทางในละแวกนี้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเขาพยายามเดินออกไปที่ถนนใหญ่ก็พบว่าเขาเดินกลับมาที่หน้าโรงเรียนเหมือนเดิม และที่หน้าโรงเรียนนั้นเองเขาเห็นพราณที่กำลังมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจและผีเด็กที่ยืนแสยะยิ้มอยู่ข้างๆโทมัส

และเสียงโวยวายก็ดังขึ้นมาจากในโรงเรียน

Scene 2: อากงไม่ให้กลับ

หลังจากที่บีลีฟแยกไปสำรวจภายในโรงเรียน เขาได้เดินมาถึงห้องสมุดภายในอาคารเรียนซึ่งมีบรรณารักษ์คนหนึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่ ทันทีที่บีลีฟชะโงกหน้าเข้าไปดูเธอก็ได้ทักทายและถามว่าเขาซึ่งเป็นคนนอกโรงเรียนนั้นมาทำอะไรที่นี่ ซึ่งบีลีฟก็ได้อธิบายว่าเขาเพียงแค่เข้ามาเดินเล่นเท่านั้น ทำให้บรรณารักษ์ถึงกับถอนหายใจออกมาและบ่นว่าทำไมลุงยามทำตัวหละหลวมได้ขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีคนเมายาบุกเข้ามาทำร้ายคนในโรงเรียนแท้ๆ

บีลีฟรู้สึกสนใจในเรื่องที่มีคนมาทำร้ายคนในโรงเรียน เขาจึงถามบรรณารักษ์ต่อว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอจึงเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อนมีคนเมายาหลงเข้ามาในโรงเรียนเพราะลุงยามแอบไปงีบในช่วงเย็น ในตอนนั้นมีครูบรรณารักษ์คนหนึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องสมุด โดยไม่ทันระวังตัวคนเมายาที่เพ่นพ่านจนหลงเข้ามาถึงห้องสมุดก็วิ่งเข้ามาพร้อมอาวุธและกระหน่ำแทงครูบรรณารักษ์คนนั้น

“แล้วครูคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ” บีลีฟถามขึ้น เขารู้สึกสังหรณ์แปลกๆ

“ตายคาที่ ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ร้องขอชีวิต” ครูบรรณารักษ์พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สายตาจ้องไปยังบีลีฟที่กำลังนั่งฟังอยู่ เลือดค่อยๆไหลซึมออกมาจากมุมปากของเธอและเริ่มซึมออกมาจากจุดต่างๆตามร่างกาย จนในที่สุดร่างนั้นก็โชกไปด้วยเลือด

บีลีฟที่จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ความรู้สึกตกใจและกลัวพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนร่างกายของเขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อมันอย่างไร จนเมื่อร่างของบรรณารักษ์นั้นจมอยู่ในกองเลือดเรียบร้อยแล้วเขาจึงขยับตัวและวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ความกลัวกลั่นกลายเป็นเสียงร้องโวยวายขณะที่เขาวิ่ง

และเขาคงจะวิ่งต่อไปหากพราณและโทมัสที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนไม่ได้คว้าตัวของเขาเอาไว้และเขย่าตัวของเขาเบาๆเพื่อให้ตั้งสติ หลังจากที่ใจเย็นลงและตั้งสติได้แล้ว ทั้งนักสืบและอันธพาลทวงหนี้ก็ถามเขาว่าเขาไปเจออะไรมา บีลีฟจึงเล่าเหตุการณ์ในห้องสมุดให้ทั้งสองฟังโดยมีนากามูระยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ซึ่งเมื่อเล่าจบนากามูระก็ได้แต่เพียงถอนหายใจแล้วบ่นกับตัวเองเบาๆว่า “ครูบรรณารักษ์เอาอีกแล้ว” ส่วนพราณก็ได้แต่พยักหน้ารับทราบ มีเพียงโทมัสเท่านั้นที่คิดว่าบีลีฟนั้นอาจดื่มเหล้าหรือเสพยามา แต่เมื่อตรวจดูแล้วก็ไม่พบอะไร

ทั้งสี่คนเริ่มถกเถียงกันถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น พราณและนากามูระบอกเรื่องที่ทุกคนไม่สามารถออกไปจากบริเวณนี้ได้แต่ทั้งบีลีฟและโทมัสก็ไม่เชื่อจนกระทั่งได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง แม้โทมัสจะยังไม่เข้าใจอะไรมากนักเพราะเขานั้นไม่ได้มีสัมผัสพิเศษเหมือนชาวเมืองดาราสมุทรและบีลีฟ แต่เพราะทำงานที่เมืองนี้มานานเขาจึงคาดเดาได้ว่ามีเรื่องลึกลับที่อยู่เหนือเหตุผลและคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์กำลังเกิดขึ้น (แต่การที่เขารู้สึกหนักๆหน่วงๆบริเวณคอในตอนนี้ เขาคิดว่าเป็นเพราะเขานั่งทำงานนานเกินไปแต่คนอื่นๆอีกสามคนบอกว่ามีผีเด็กขี่คอเขาอยู่)

และผีเด็กก็ได้บ่นขึ้นมาว่า “หิว อยากกลับบ้าน อากงไม่ให้กลับ”


Scene 3: ศาลเจ้าโอวกง

ทั้งสี่คนตัดสินใจไปตั้งหลักกันที่โรงอาหารในโรงเรียน ข้อมูลที่พวกเขามีตอนนี้คือพวกเขาไม่สามารถออกไปจากพื้นที่โรงเรียนได้ (ที่สำคัญคือเวลาก็น่าจะหยุดเดินด้วย เพราะแม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นชั่วโมงแล้วแต่พระอาทิตย์ก็ยังไม่ตกดินเสียที) ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับบางอย่างหรือบางคนที่ผีเด็กเรียกว่า “อากง”

ระหว่างที่พวกเขากำลังมืดแปดด้าน พวกเขาก็ได้ยินเสียงกวาดพื้นดังมาจากลานอเนกประสงค์ที่อยู่ติดกัน ทุกคน (ยกเว้นโทมัส) เห็นภารโรงคนหนึ่งกำลังกวาดพื้นอยู่ แม้พื้นนั้นจะไม่มีเศษใบไม้หรือเศษขยะอยู่เลยก็ตาม เขากวาดเป็นจังหวะสม่ำเสมอราวกับว่าหน้าที่ของเขาคือการขยับไม้กวาดให้ถูกต้องตามจังหวะ แม้จะดูแปลกไปบ้างแต่การไปถามหาเบาะแสหรือข้อมูลก็ไม่น่าใช่เรื่องเสียหายอะไร พวกเขาจึงเดินไปหาภารโรงคนนั้นและถามเรื่องเกี่ยวกับ “อากง”

ภารโรงคนนั้นหยุดกวาดครู่หนึ่งและหันมาพูดคุยด้วย เขาบอกว่าสิ่งที่น่าจะเกี่ยวข้องกับอากงในบริเวณนี้น่าจะเป็นศาลเจ้าร้างในเขตชุมชนติดกับโรงเรียนที่ชื่อว่า “ศาลเจ้าโอวกง” และได้บอกทางให้แก่คนทั้งสี่ เมื่อมีคนขอร้องให้ภารโรงช่วยนำทางไปหน่อย ภารโรงก็บอกว่าหน้าที่ของเขาคือการกวาดอยู่ตรงนี้ พูดจบก็กลับไปกวาดพื้นต่อ

ทั้งหมด (รวมทั้งโทมัสที่ยังดูงงๆกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่) จึงเดินทางไปยังศาลเจ้าโอวกงตามคำบอกเล่าของภารโรง โดยศาลเจ้าที่ว่านี้คือศาลเจ้าที่บีลีฟได้มาแวะสำรวจในครั้งแรกนั่นเอง แต่ในครั้งนี้บีลีฟไม่เห็นคนแก่ที่มีผิวสีดำสนิทเหมือนถ่านไม้แล้ว ศาลเจ้าร้างดูเหมือนศาลเจ้าธรรมดาทั่วไป พวกเขาเข้าไปค้นดูเผื่อว่าจะเจออะไรที่เป็นประโยชน์บ้างแต่ก็พบแค่แผ่นพับแนะนำศาลเจ้าที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาและรายการของเซ่นไหว้แก้บนเท่านั้น

นากามูระเห็นว่าไม่มีอะไรคืบหน้าเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้ “ชะตาดาว - หนังสือบอกเรื่องราว” โดยเขาได้กางหนังสือหน้าว่างพร้อมกับปากกาไว้ตรงแท่นบูชาในศาลแล้วอธิษฐาน ความสามารถนี้จะทำให้เขาสามารถสื่อสารกับสิ่งลี้ลับที่โดยปกติแล้วไม่สามารถหรือไม่ต้องการสื่อสารกับคนเป็นได้ แต่มีข้อแม้คือเขาห้ามพูดในระหว่างที่ใช้ความสามารถนี้

ปากกาเริ่มลอยขึ้น ตัวอักษรเริ่มปรากฏ นากามูระได้ยินเสียงกระซิบข้างๆหู ถามว่าต้องการอะไร เขาพยายามข่มใจตัวเองไม่ให้เผลอพูดออกไป เมื่อตัวอักษรปรากฏครบเสียงนั้นก็หายไป แต่สิ่งที่น่าปวดหัวก็คือตัวอักษรเหล่านั้นเป็นภาษาจีน แม้นากามูระจะมีเชื้อสายญี่ปุ่นและรู้จักตัวอักษรคันจิค่อนข้างดี แต่ดูเหมือนว่าตัวอักษรพวกนี้จะซับซ้อนเกินความสามารถของเขา นากามุระจึงบอกกับทุกคนว่าเขาจำเป็นต้องไปหาพจนานุกรมภาษาจีนที่ห้องสมุด


Scene 4: ห้องสมุด

พวกเขาเข้ามาในอาคารเรียน ในอาคารมีห้องไม่มาก มีเพียงห้องพักครู, ห้องเรียน, ห้องศิลปะ-งานช่าง และห้องสมุด พวกเขาตรงไปที่ห้องสมุดและพบกับบรรณารักษ์กำลังนั่งทำงานพร้อมด้วยเลือดที่กองเต็มพื้น บีลีฟแม้จะตกใจอยู่บ้างแต่เมื่อเห็นว่าบรรณารักษ์ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งเลือดท่วม (และกระอักเลือดบ้างบางครั้ง) แถมยังพูดคุยทักทายได้ปกติด้วยก็เลยเบาใจลงไป ด้านนากามูระกับพราณไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรเพราะเป็นชาวเมืองดาราสมุทรโดยกำเนิดซ้ำยังมีชะตาดาวติดตัวอีกต่างหาก พราณแยกไปสำรวจห้องอื่น ส่วนนากามูระถามบรรณารักษ์ว่าพจนานุกรมภาษาจีนอยู่ที่ไหนและเดินตรงไปยังส่วนนั้นทันที ส่วนโทมัสที่เห็นเลือดกองอยู่บนพื้นก็รีบเข้าไปตรวจสอบทันทีและงงว่าทำไมคนอื่นจึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับกองเลือดบนพื้นเลยก่อนจะเดินตามนากามูระเข้าไป

ระหว่างนั้นบีลีฟก็นั่งคุยกับบรรณารักษ์ด้วยท่าทางเกร็งๆ เขาถามว่าผีในเมืองนี้สามารถสื่อสารกับผู้คนได้เป็นปกติขนาดนี้เลยเหรอ ซึ่งบรรณารักษ์ก็อธิบายว่าที่จริงแล้วสิ่งที่บีลีฟเรียกว่า “ผี” นั้นมีอยู่หลายระดับ เมื่อคนในเมืองดาราสมุทรตายไป หากมีเรื่องค้างคาใจพวกเขาจะทิ้ง “ซากทรงจำ” เอาไว้ ซึ่งเป็นเหมือนความทรงจำก่อนตายที่เล่นซ้ำไปเรื่อยๆ ไม่รับรู้และไม่อาจมีปฏิสัมพันธ์กับโลกวัตถุ หากปริมาณซากทรงจำมากพอก็จะรวมกันเป็น “สำนึก” อย่างที่บรรณารักษ์เป็นอยู่ คือมีสติรับรู้และสามารถพูดคุยกับผู้คนจากโลกวัตถุได้ แต่ไม่สามารถสัมผัสกันได้ และถ้าผ่านเวลาไปนานพอโดยยังไม่ดับสูญ สำนึกนั้นจะกลายเป็น “อัตตา” ซึ่งคล้ายกับการมีกายเนื้อและสามารถสัมผัสกับโลกวัตถุได้ ซึ่งอัตตานั้นสามารถปรากฏขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ และระดับสุดท้าย “ปรัมปรา” คืออัตตาที่อยู่มานานมากและสะสมพลังอำนาจจนกลายเป็นตำนานเมือง อย่างโอวกงที่พวกเขาพูดถึงก็จัดอยู่ในระดับ “ปรัมปรา”

บีลีฟค่อยๆคิดตามและย่อยข้อมูลที่เขาได้รับ ก่อนจะขอบคุณบรรณารักษ์และขอตัวออกไปสำรวจด้านนอกกับพราณซึ่งล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

ทางด้านนากามูระนั้นได้เปิดพจนานุกรมและแปลความหมายของตัวอักษรจีนเหล่านั้นได้สำเร็จ มันเป็นบทกวีที่เขียนว่า “ห่างไกลพันลี้ เฝ้าคอยหมื่นปี รอวันพบพาน” ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันตีความได้ว่าอย่างไรจึงคิดว่าจะลองไปถามบรรณารักษ์ดู ส่วนโทมัสที่เข้าไปด้วยก็ไปสะดุดตากับหนังสือรุ่นเมื่อสมัยสิบกว่าปีที่แล้วของโรงเรียนและเปิดออกดูก่อนจะนำรูปที่เขาได้จากจอย (ผู้ว่าจ้าง) มาเทียบดู และพบว่ามันคือชุดนักเรียนแบบเดียวกัน

นากามูระถามบรรณารักษ์ว่าบทกวีนี้มีอยู่ในห้องสมุดหรือไม่ ซึ่งบรรณารักษ์ก็ตอบมาในทันทีว่าไม่มี มันน่าจะเป็นบทกวีที่ถูกแต่งขึ้นมาใหม่และยังไม่ได้ตีพิมพ์ นากามูระจึงกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินออกไปสมทบกับพราณและบีลีฟ แต่ก่อนที่เขาจะได้ออกไปโทมัสที่เดินตามมาก็ถามขึ้นมาว่าเขาคุยอยู่กับใคร นากามูระที่ไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่เขาเห็นให้โทมัสฟังได้อย่างไรจึงหันไปหาบรรณารักษ์เพื่อขอความช่วยเหลือ บรรณารักษ์จึงพยักเพยิดไปทางหิ้งที่อยู่หลังเคาท์เตอร์บรรณารักษ์ บนหิ้งนั้นมีอัฐิวางไว้คู่กับรูปถ่ายขาวดำใส่กรอบรูปหนึ่ง ซึ่งก็คือรูปของบรรณารักษ์นั่นเอง

นากามูระถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะบอกให้โทมัสหลับตาลงหน่อย แม้จะยังสับสนอยู่บ้างว่าให้หลับตาทำไมแต่โทมัสก็ยอมหลับตาแต่โดยดี นากามูระจึงเดินไปที่หิ้ง เปิดอัฐินั้นออกและใช้นิ้วมือแตะให้เถ้ากระดูกของบรรณารักษ์ติดปลายนิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเอาไปป้ายตาโทมัส

โทมัสมีท่าทีตกใจเมื่อมีอะไรสักอย่างมาป้ายตา เขาผละถอยไปด้านหลังพร้อมกับลืมตาขึ้น แต่คราวนี้เบื้องหน้าของเขาไม่ได้มีเพียงกองเลือดแล้ว แต่ยังมีร่างของบรรณารักษ์ที่จมกองเลือดกำลังมองมาทางเขาอีกด้วย แต่เพราะเขาเป็นนักสืบที่เห็นอะไรน่าสยดสยองมาเยอะ เขาจึงยังตั้งสติเอาไว้ได้และโชคดีหน่อยที่โทมัสเป็นคนยืดหยุ่นคนหนึ่ง เขาพยายามผ่อนลมหายใจแล้วเริ่มการสนทนากับบรรณารักษ์เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ


Scene 5: ห้องเรียน

ทางด้านพราณที่แยกตัวออกมาได้เข้าไปสำรวจห้องเรียนที่อยู่ข้างๆ ไม่นานนักบีลีฟก็ตามเข้ามา เมื่อพวกเขาเข้าไปก็พบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง ทำท่าทางเหมือนกำลังพูดคุยกับใครสักคนอยู่คนเดียว เมื่อพูดจบประโยคเขาก็พูดมันซ้ำอีกครั้ง ด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ดูเหมือนเทปที่เล่นวนซ้ำอยู่กับที่

“วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่จะได้คุยกันแบบนี้แล้ว พรุ่งนี้ทั้งเราและเธอคงต้องแยกย้ายกันไปต่างเมืองแล้ว ถ้าได้กลับมาเจอกันก็คงจะดีนะ” เด็กผู้ชายคนนั้นพูด น้ำเสียงแฝงความรู้สึกเศร้าอย่างประหลาด

พราณลองไปยืนหน้านักเรียนชายคนนั้นแล้วนำมือปัดผ่านหน้าของเด็กชายดู แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกตัวว่ามีคนอยู่ด้านหน้า และเมื่อพราณลองเอามือไปแตะตัวนักเรียนชายเขากลับสัมผัสถูกเพียงอากาศธาตุ ทั้งๆที่ภาพของนักเรียนชายคนนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้า

“ซากทรงจำสินะ” พราณบ่นกับตัวเองแล้วหันไปค้นโต๊ะเรียนเพื่อหาเบาะแสอื่นเพิ่มเติม และเจอเข้ากับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งเข้า เมื่อเขาเปิดอ่านก็พบว่ามันเป็นบันทึกประจำวันของนักเรียนชายคนหนึ่ง เขาเล่าว่าเขามีเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันมากคนหนึ่งที่สุดท้ายแล้วต้องแยกย้ายกันไปเรียนต่างเมืองเนื่องจากสถานที่ทำงานของพ่อแม่ และยังเล่าต่ออีกว่าเขาได้ไปขอพรกับศาลเจ้าแห่งหนึ่งว่าขอให้เขาและเพื่อนผู้หญิงคนนั้นได้กลับมาเจอกันอีก

เมื่ออ่านจบพราณก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องอะไรบางอย่างได้ เขาพลิกสมุดดูเพื่อหาชื่อและได้เห็นตัวอักษรเล็กๆเขียนเอาไว้ที่มุมกระดาษในหน้าแรกๆ “บอส - นพดล ฟิลลิป” เขาบอกให้บีลีฟไปค้นโต๊ะครูเผื่อเจออะไรบ้าง ซึ่งบีลีฟก็เจอสมุดการบ้านเล่มหนึ่งที่มีชื่อเขียนไว้ว่า “นพดล ฟิลลิป” เขาเปิดดูผ่านๆและสะดุดตากับร่องรอยเขียนเล่นอย่างหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “บอส (รูปหัวใจ) จอย” เขาเก็บสมุดเล่มนั้นมาและไปปรึกษากับพราณ พวกเขาคิดว่าโทมัสคงต้องการข้อมูลที่มีอยู่ในมือของพวกเขาตอนนี้เป็นแน่


Scene 6: ห้องศิลปะ-งานช่าง

พราณกับบีลีฟเดินกลับออกมาจากห้องเรียนและได้พบกับนากามูระที่เพิ่งเอาเถ้ากระดูกป้ายตาโทมัสและปล่อยให้โทมัสคุยกับบรรณารักษ์อยู่ พราณจึงบอกให้บีลีฟเอาสมุดเหล่านี้ไปให้โทมัส ส่วนเขาจะลองไปสำรวจห้องอื่นต่อ โดยในครั้งนี้นากามูระขอติดตามไปด้วย

บีลีฟเดินเข้าไปในห้องสมุดและเห็นโทมัสคุยกับบรรณารักษ์อยู่และรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่โทมัสสามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับหรือว่า “ผี” ได้แล้ว เขายื่นสมุดให้โทมัสและเล่าเรื่องราวที่เขาได้พบกับ “ซากทรงจำ” ของบอส - นพดล ฟิลลิป ที่ห้องเรียนให้โทมัสฟัง ทำให้นักสืบเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ เขายื่นรูปถ่ายของจอยที่เขาได้รับมาให้บีลีฟดู ถามว่าซากทรงจำที่เขาเห็นใช่เด็กผู้ชายในรูปหรือไม่ บีลีฟรับรูปมาดูและพยักหน้าให้โทมัส ซึ่งทำให้นักสืบตาเป็นประกายและอุทานออกมาว่า “ปริศนาทุกอย่างไขกระจ่างแล้ว” แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้อธิบายอะไร เขาก็ได้ยินเสียงประตูปิดกระแทกมาจากห้องฝั่งตรงข้าม ทั้งโทมัสและบีลีฟรีบวิ่งออกไปตามต้นเสียงทันที โดยโทมัสได้ชักปืน M1911A1 คู่ใจของเขาออกมาเตรียมพร้อม

ก่อนหน้าที่เสียงปิดประตูจะดังขึ้น นากามูระและพราณได้เข้าไปสำรวจห้องศิลปะ-งานช่าง ในส่วนของโซนงานช่างที่อยู่ถัดจากโซนศิลปะเข้าไปด้านในนั้นพวกเขาพบคนคนหนึ่งกำลังตัดไม้และประกอบเฟอร์นิเจอร์อยู่ เขาดูใช้สมาธิกับงานมากเสียจนไม่รู้ว่ามีคนอีกสองคนเดินเข้ามาในห้อง แต่ทั้งพราณและนากามูระต่างรู้ว่า “คน” ที่กำลังตัดไม้อยู่นั้นอาจไม่ใช่ “คนเป็น” นากามูระเดินเข้าไปเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมพลางนึกว่าเต็มที่ก็คงเป็น “สำนึก” ของครูคนอื่นเช่นเดียวกันกับบรรณารักษ์

แต่ทันทีที่นากามูระก้าวขาเข้าไปในพื้นที่ของห้องงานช่าง ประตูบานที่พวกเขาเข้ามาก็กระแทกปิดลง และคนที่กำลังเลื่อยไม้อยู่ก็หันมา เผยให้เห็นศีรษะส่วนบนที่มีใบเลื่อยวงกลมปักคาอยู่ มันปักเป็นแนวนอนตามแนวตาทั้งสองข้างและฝังลึกเข้าไปเกินครึ่งหัว

พร้อมๆกันกับเสียงประตูปิด สิ่งลี้ลับที่มีใบเลื่อยปักคานั้นก็คำรามและพุ่งเข้าใส่นากามูระพร้อมกับเลื่อยไฟฟ้าในมือ เคราะห์ดีที่นากามูระหลบได้ทัน ส่วนพราณก็พุ่งสวนเข้าไปและพุ่งชนมันให้เสียหลัก แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่สะทกสะท้านเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการยืนยันแล้วว่าสิ่งลี้ลับนี้อยุ่ในระดับ “อัตตา”

โทมัสกับบีลีฟที่วิ่งตามมาพยายามจะเปิดประตูห้องศิลปะ-งานช่างเข้าไปแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล โทมัสต้องใช้ปืนยิงลูกบิดทิ้งจึงสามารถเข้าไปได้และพบว่าพราณกำลังยื้อเจ้าผีเลื่อยตนนั้นไว้อยู่ โทมัสจึงลั่นกระสุนอีกนัดเข้าที่หัวเข่าของผีเลื่อยเพื่อทำให้มันล้มลง พราณจึงได้โอกาสกดมันลงกับพื้นและถีบเลื่อยที่มันใช้เป็นอาวุธไปให้ไกลมือพลางตะโกนบอกแกมบังคับบีลีฟให้รีบเข้ามาซ้ำ บีลีฟวิ่งเก้ๆกังๆเข้าไป พยายามจะเตะใบเลื่อยที่ฝังอยู่บนหน้าของมันแต่พลาด มันดึงตัวบีลีฟให้ล้มลงใส่นากามูระที่พยายามจะใช้กรรไกรแทงมัน

แต่สุดท้ายมันก็ทำอะไรมากไม่ได้ โทมัสยิงซ้ำอีกนัดเข้าที่หัว ในครั้งนี้มันได้รับความเสียหายหนักจนกะโหลกเปิดออกให้เห็นเนื้อสมองด้านใน นากามูระได้ทีจึงคว้ากรรไกรมากเท่าที่เขาจะหาได้และกระหน่ำเขวี้ยงกระหน่ำแทงเข้าที่เนื้อสมองนั้น ร่างของผีเลื่อยชักกระตุกทุกครั้งที่กรรไกรชำแรกลงไปในเนื้อสมอง เลือดมากมายพวยพุ่งออกมา เมื่อกรรไกรเล่มสุดท้ายปักลงจนมิดด้ามมันจึงแน่นิ่งไป

ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศอีกครั้งจนได้ยินเสียงหอบหายใจของทั้งสี่คนชัดเจน พวกเขามองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นและถอยห่างออกมา และในชั่วพริบตาร่างนั้นก็สลายหายไปและพวกเขาก็ได้ยินเสียงเลื่อยไม้อีกครั้ง

พวกเขาเห็นชายคนหนึ่งกำลังเลื่อยไม้และประกอบเฟอร์นิเจอร์อยู่ เมื่อเฟอร์นิเจอร์ใกล้จะเป็นรูปเป็นร่างและท่อนไม้หมดลงพวกเขาก็เห็นว่าเฟอร์นิเจอร์หายไปและท่อนไม้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ส่วนชายที่กำลังเลื่อยไม้ก็ทำงานตรงหน้าด้วยท่าทางและจังหวะที่เหมือนเดิมไม่มีผิดเพี้ยน

โทมัสยังคงเอาปืนเล็งไปที่ชายคนนั้น พราณเดินเข้าไปและลองสัมผัสร่างของมันและสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ดูเหมือนว่า “อัตตา” ที่ไล่ฟันพวกเขาด้วยใบเลื่อยเมื่อครู่ได้กลายเป็น “ซากทรงจำ” ไปเรียบร้อยแล้ว และเมื่อมันไม่มีพิษมีภัยอีกแล้ว ทั้งสี่คนจึงไปรวมตัวกันที่ห้องสมุดเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล

เมื่อนำข้อมูลมารวมกัน บทกวีจากศาลเจ้า, ซากทรงจำและสมุดบันทึกของบอส – นพดล ฟิลลิป ในห้องเรียน, รูปถ่ายที่จอยให้มา พวกเขาได้ข้อสรุปมาว่าที่พวกเขาติดอยู่ในห้วงเวลาและสถานที่นี้น่าจะเป็นการกระทำของ “โอวกง” ที่บอส - นพดล ฟิลลิป ได้ไปบนบานศาลกล่าวเอาไว้ว่าขอให้ได้พบกับจอยอีกครั้ง และวิธีที่พวกเขาจะหลุดออกไปได้น่าจะต้องไปทำการแก้บนด้วยของเซ่นไหว้ตามที่ได้ข้อมูลมาจากแผ่นพับของศาลเจ้าซึ่งประกอบด้วย หมูสามชั้น, ข้าวสาร และเหรียญ เมื่อคิดได้ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจไปตามหาของเซ่นไหว้กันที่โรงอาหาร

ก่อนไปบีลีฟได้ถามบรรณารักษ์ (ที่ยังคงนั่งกระอักเลือดอยู่) ว่าทำไมคนที่ห้องศิลปะ-งานช่างถึงกลายเป็นอัตตาและเข้าทำร้ายพวกเขา ไม่เหมือนบรรณารักษ์ ซึ่งเธอก็เล่าว่าชายคนที่ทำร้ายพวกเขานั้นเป็นครูวิชางานช่าง วันหนึ่งเขาทำเฟอร์นิเจอร์อยู่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นเพราะเลื่อยของโรงเรียนที่เก่าเกินไปและขาดการซ่อมบำรุงได้พังลงและใบเลื่อยได้กระเด็นมาฝังหัวเขาตายคาที่ สุดท้ายแล้วการสืบสวนสรุปว่าเขาตายเพราะความประมาทของเขาเองและไม่มีการพูดถึงเรื่องงบซ่อมบำรุงที่ไม่เพียงพอเลย เขาจึงแค้นจนกลายเป็นอัตตาที่จะระบายแค้นกับใครก็ตามที่เขาพบเจอ

ส่วนโทมัสและนากามูระได้ตัดสินใจไปตรวจสอบห้องพักครูที่ล็อคอยู่ โดยโทมัสใช้ปืนของเขายิงลูกบิดแล้วเปิดเข้าไปเช่นเคย เขาไล่ดูโต๊ะครูต่างๆซึ่งก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ จนมาถึงโต๊ะหนึ่งซึ่งเป็นโต๊ะทำงานที่มีแผ่นกระจกรองพื้นโต๊ะ สามารถนำรูปถ่ายวางไว้ใต้กระจกเป็นการตกแต่งโต๊ะได้ ใต้กระจกบนโต๊ะนั้นมีรูปถ่ายรวมห้องเรียนใบหนึ่งอยู่ เขาลองไล่ดูหน้านักเรียนทั้งหมดและพบว่ามันคือรูปถ่ายรวมห้องของจอยและบอสนั่นเอง เขาจึงลองเปิดลิ้นชักดูและค้นเจอข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น มันเป็นข่าวอุบัติเหตุย่านชานเมืองดาราสมุทร รถของครอบครัวที่กำลังจะย้ายไปอยู่ต่างเมืองประสบอุบัติเหตุตายทั้งครอบครัว เขาค่อยๆไล่ดูชื่อของผู้เสียชีวิตและพบชื่อ “นพดล ฟิลลิป” อยู่ในนั้นด้วย เขาเก็บข่าวหนังสือพิมพ์นั้นใส่กระเป๋าพลางรำพึงออกมาเบาๆว่า “ชีวิตคนเรานี่มันคาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ”

ไม่มีอะไรให้ค้นหาอีก ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่โรงอาหาร


Scene 7: โรงอาหาร

นากามูระพาบีลีฟตรงไปยัง “ร้านป้าเพ็ญ” ร้านขายข้าวหมูแดงหมูกรอบที่อร่อยที่สุดในโรงเรียน แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าตู้แช่กับข้าวของป้าเพ็ญล็อคอยู่ แต่นากามูระก็ไม่อยากจะทุบตู้ป้าเพ็ญจึงขอร้องให้ผีเด็กช่วยบอกตำแหน่งของกุญแจ ผีเด็กจึงตอบว่าถ้าบอกแล้วต้องหาอะไรให้กินด้วย พูดจบก็กระโดดไปนั่งบนถังแก๊ส นากามูระจึงลองไปค้นๆแถวนั้นดูและพบกุญแจตู้แช่กับข้าวอยู่ใต้ถังแก๊ส เขารีบหยิบมันออกมาและไขตู้เอาหมูสามชั้นและหมูกรอบมาอย่างละชิ้น, ตวงข้าวสารมาสองถ้วย และหยิบธูปที่ป้าเพ็ญใช้สำหรับบูชานางกวักมาด้วย

เมื่อของพร้อมแล้วทั้งหมดก็ไปที่ศาลเจ้าโอวกง (โดยมีเจ้าผีเด็กที่กำลังแทะหมูกรอบอย่างเอร็ดอร่อยลอยตามไปด้วย) เมื่อไปถึงแล้วพวกเขาก็ตั้งของไหว้ตามที่แผ่นพับบอกไว้ เมื่อทุกอย่างพร้อมและธูปถูกจุด ร่างสีดำราวกับถ่านไม้ร่างหนึ่งก็ค่อยๆปรากฏขึ้นที่แท่นบูชาภายในศาลเจ้า โอวกงหรือปู่ดำ ชายชราร่างเล็กที่มีผิวดำสนิทราวกับถ่านไม้ นั่งจ้องผู้มาเยือนทั้งสี่เงียบๆแต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นากามูระจึงหยิบสมุดและปากกาออกมาอีกครั้งเพื่อสื่อสารกับโอวกง

ตัวอักษรจีนค่อยๆปรากฏขึ้นบนกระดาษ ในครั้งนี้นากามูระสามารถอ่านมันออก ข้อความเขียนว่า “พรไม่สัมฤทธิ์ ไม่รับของเซ่นไหว้” เมื่อข้อความหยุดลง นากามูระจึงได้นำมันไปอ่านให้อีกสามคนฟัง พราณที่เห็นข้อความนั้นจึงถามโทมัสว่าผู้ว่าจ้างได้ทิ้งช่องทางติดต่อไว้หรือเปล่า เพราะถ้าจะให้คำขอสัมฤทธิ์ผล จอยจะต้องมาเจอกับบอสที่โรงเรียนแห่งนี้ โทมัสจึงตอบกลับไปว่าเธอได้ให้เบอร์เพจเจอร์เอาไว้

โทมัสเดินหาตู้โทรศัพท์แถวนั้น เมื่อพบแล้วจึงได้หยอดเหรียญและต่อสายไปยังศูนย์เพจเจอร์ น่าแปลกที่ว่าในสถานการณ์แบบนี้โทรศัพท์นั้นไม่น่าจะใช้งานได้ แต่เหมือนกับโอวกงจะรู้ว่านี่คือข้อความที่จะเติมเต็มความปราถนาและปลดปล่อยทั้งคนเป็นและคนตายที่ติดอยู่ในห้วงเวลานี้ ดังนั้นเมื่อสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น เวลาก็เหมือนกลับมาเดินอีกครั้ง

"ช่วยส่งข้อความไปยังหมายเลข xxx-xxx ว่าให้มาที่โรงเรียน xxx หน่อยครับ จากนักสืบโทมัส" โทมัสพูดกับโอเปอร์เรเตอร์ที่ปลายสายและฟังเธอทวนข้อความอีกครั้งก่อนที่โทมัสจะยืนยันการส่งข้อความ เขาได้ยินเสียงพิมพ์แทรกเข้ามาเบาๆก่อนที่โอเปอร์เรเตอร์จะบอกเขาว่าข้อความได้ถูกส่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"ขอบคุณมากครับ" โทมัสกล่าวและวางสาย เขาหันไปมองคนอีกสามคนที่ร่วมผจญเรื่องแปลกประหลาดมาด้วยกันในวันนี้ พยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้พวกเขารู้ว่าเรื่องนี้กำลังจะจบลง เมื่อจอยมาถึงโรงเรียนและได้พบกับบอส เวลาก็จะกลับมาเดินอีกครั้ง พวกเขาจึงแยกย้ายกันไป นักสืบโทมัส, นากามูระ และพราณ แยกตัวออกไปที่หน้าโรงเรียน ส่วนบีลีฟขออยู่ที่ศาลเจ้าต่ออีกสักพัก



Scene 8: คลี่คลาย

โทมัส, นากามูระ และพราณ ยืนรออยู่ตรงนั้นท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวและความเงียบสงัดยามโพล้เพล้เมื่อจอยปรากฏขึ้นที่หน้าประตูโรงเรียน เธอค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่โทมัสสามารถหาเพื่อนของเธอได้เร็วขนาดนี้ หลังจากทักทายโทมัสและคนแปลกหน้าอีกสองคน โทมัสและนากามูระก็นำทางจอยไปยังห้องเรียน

เมื่อถึงหน้าห้องเรียน พวกเขามองผ่านประตูห้องเรียนเข้าไปเห็นซากทรงจำของบอสที่กำลังพูดประโยคเดิมซ้ำๆอยู่ โทมัสมองหน้าจอยแล้วดูปฏิกิริยาก่อนจะหันไปหานากามูระ

“ผมว่าเราควรปล่อยให้เธออยู่ตามลำพัง" เขาพูด นากามูระพยักหน้าแล้วค่อยๆถอยออกมา “และจริงๆ หน้าที่ส่งเธอไปให้ถึงจุดหมาย ผมที่เป็นผู้ให้บริการควรจะทำมัน" เขากล่าวเบาๆและเปิดประตูห้องเรียนออก ผายมือส่งสัญญาณให้จอยเดินเข้าไปและยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ มันคือข่าวหนังสือพิมพ์ที่โทมัสหยิบมาจากห้องพักครู

“คุณจอยรับนี่ไปด้วยสิ แล้วก็ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ”

เขาสังเกตเห็นน้ำตารื้นๆในดวงตาของผู้ว่าจ้าง เขาหลบฉากออกมาและปิดประตูให้อย่างแผ่วเบาเมื่อเธอก้าวเข้าไปในห้องแล้ว เขาเพียงยืนรออยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องไปยังความว่างเปล่าของโถงทางเดิน พลันความเงียบที่เคยมีก็ถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้น, คำพูด และความรู้สึกที่เก็บเอาไว้ตลอดสิบปี แม้อีกฝ่ายจะไม่มีโอกาสได้รับรู้แล้วก็ตาม

สักพักใหญ่กว่าจอยจะออกมาจากห้องนั้น เธอกล่าวขอบคุณโทมัสพร้อมกับยื่นซองค่าจ้างให้และเดินจากไป และเมื่อเธอก้าวพ้นอาคารเรียนออกไป แสงอาทิตย์ก็ค่อยๆจางลงและดับไป โพล้เพล้ผ่านพ้นสู่ค่ำคืน อากาศที่นิ่งจนน่าอึดอัดกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง


นักเลง

พราณที่ยืนรออยู่ที่หน้าโรงเรียนเมื่อเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เรื่องราวในวันนี้คงจบเพียงเท่านี้ เขาเดินลัดเลาะไปยังทางที่เขาคุ้นชิน ในครั้งนี้เขาออกมายังถนนใหญ่ได้สำเร็จ เขาคิดว่าวันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน งานทวงหนี้ที่คั่งค้างคงต้องเลื่อนไปเป็นวันพรุ่งนี้แทน


นักเรียน

นากามูระและโทมัสเดินออกมาด้วยกันจนถึงหน้าโรงเรียน เขาบอกลาโทมัสก่อนหันไปมองผีเด็กที่กำลังแทะหมูกรอบอย่างเอร็ดอร่อยอยู่

“กลับบ้านกันเถอะ” เขาพูดกับผีเด็ก ถึงแม้จะรู้สึกรำคาญเวลาที่ผีตนนี้อยู่ใกล้ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าต่างคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกันไปแล้ว (แม้อีกคนจะไม่มีชีวิตแล้วก็เถอะ)

“กลับบ้าน” ผีเด็กยิ้มออกมาและจับมือนากามูระ

ทั้งสองคนเดินจูงมือกัน ลัดเลาะตามตรอกซอกซอยที่คุ้นเคยจนออกมาถึงถนนใหญ่


นักสืบ

เมื่อนากามูระและคนอื่นๆกลับไปแล้ว โทมัสกระชับหมวกบนศีรษะและล้วงเอาบุหรี่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาสูบ เขาดูดเอารสชาติควันเข้าปอดช้าๆและปล่อยมันขึ้นไปบนฟ้า เขามองควันบุหรี่ที่ลอยอ้อยอิ่งล้อกับแสงไฟของไฟทางยามค่ำคืนพลางรำพึง

“ชีวิตคนเรานี่มันช่างสั้นจริงๆ” พูดจบก็ดูดบุหรี่พลางเดินไปตามถนนที่เปล่าเปลี่ยว เขาหันไปมองโรงเรียนอีกครั้งและบ่นพึมพำ 
“ให้ตายสิ ฉันนี่มันเท่จริงๆ”

นักศึกษา

โพล้เพล้ผ่านพ้นไป สายลมโชยมาอีกครั้ง บีลีฟซื้อน้ำอัดลมกระป๋องจากตู้ขายน้ำอัตโนมัติแถวนั้นมาสองกระป๋อง กระป๋องหนึ่งให้ตัวเอง ส่วนอีกกระป๋องเขานำไปวางให้กับโอวกงที่นั่งอยู่บนแท่นบูชาในศาลเจ้า

“โอวกงได้รับแต่ของเซ่นไหว้เดิมๆมาหลายปีคงจะเบื่อ รับนี่ไปสิครับ ถือว่าแทนคำขอบคุณในวันนี้” เขาพูดกับโอวกงที่ยังคงจ้องเขาอยู่ โอวกงค่อยๆเลื่อนมือที่แตะอยู่บนหมูสามชั้นมายังกระป๋องน้ำอัดลม บีลีฟโค้งทำความเคารพครั้งหนึ่งและเดินออกจากศาลเจ้าไป 

เขาเปิดคัมภีร์วันโลกแตกออกดูอีกครั้ง ในเมืองนี้ยังมีสิ่งลี้ลับอีกมากมายที่รอให้เขาได้สัมผัส



-END-

Comments