Featured

[Replay] [Play by Posts] 2400 Cosmic Highway : The Delivery EP 2


Link to Replay Part 1


Replay Part 2

ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ได้รับแจ้งว่าผู้ว่าจ้างกำลังมา เมื่อมองออกไปข้างนอกก็พบกับ Taxi ลำหนึ่งขับมาเทียบท่าจอดยาน ชายคนหนึ่งในชุดกัปตันเรือจากดาวโลกในศตวรรษที่ 19 ในมือหิ้วกระเป๋าหนังใบหนึ่ง ด้านหลังเขามีวัตถุทรงสี่เหลี่ยมสีดำขนาดประมาณโลงศพลอยตามมา น่าจะเป็นสินค้าที่ว่า แต่ดูๆไปมันคล้ายกับแท่งหินโมโนลิธมากกว่า ชายคนนั้นมาหยุดอยู่สะพานเทียบยานบีแบพแล้วกล่าวทักทายสมาชิกทั้งสาม

“สวัสดี ผมกัปตันอาฮับ ผู้ว่าจ้างและผู้ร่วมเดินทางของคุณในวันนี้”

หลังจากเห็นผู้ว่าจ้างมา Franchetti ก็ดับบุหรี่ก่อนเดินมาที่สะพานเทียบท่า “สวัสดีเช่นกันคุณอาฮับ ผม Franchetti ยินดีที่ได้ร่วมงาน” ก่อนที่จะมองไปที่ของด้านหลังที่ส่องแสงสีแดงอย่างสงสัย

“ก่อนจะนำสิ่งนั้นขึ้นยานของผมตรวจสอบความปลอดภัยก่อน คุณคงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ อพอลโล่ไททัน ซ้ำรอยใช่ไหมละ ขอผมสแกนเจ้าโมโนลิธนั่นว่าไม่มีเสปซไวรัสหรือร่องรอยกัมมันตรังสีก่อนค่อยเอามันขึ้นยานเถอะ” Guillermo ร้องขอ ส่วน Dutch ที่กำลังสังเกตสถานการณ์ผ่านกล้องจากใน Cockpit ก็รอดูว่านายจ้างจะยอมให้สแกนหรือไม่

กัปตันอาฮับคิ้วกระตุกเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว "เหมือนผมจำได้ว่าผมเลือกใช้บริการเพราะจะไม่มีการถามคำถามหรือสแกนสินค้าของผมเสียอีก แต่ไม่เป็นไร ถือว่าพวกคุณยอมเดินทางผ่าน Leviathan Crossing ด้วยค่าจ้างเท่าเดิม ผมยอมให้พวกคุณสแกนเจ้าสิ่งนี้ก็แล้วกัน แต่ไม่ต้องห่วงหรอก มันไม่มีทั้งวัตถุระเบิด, รังสี หรือไวรัสอะไรหรอก " เขาพูดพลางเคาะโมโนลิธสีดำนั้นเบาๆ "แต่หลังจากสแกน ถ้าหากไม่เจออะไรที่น่าเป็นห่วงสำหรับการเดินทาง ผมจะขออนุญาตไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับมันไปมากกว่านี้ก็แล้วกันนะ บรรยากาศการเดินทางของพวกเราจะได้ไม่ตึงเครียดจนเกินไป"

“ไม่ต้องห่วง พวกเราก็ไม่ได้อยากรู้อะไรไปมากกว่านี้หรอก เวลาเจอด่านจะได้ตอบได้ว่าไม่รู้อย่างเต็มปาก แค่รู้ว่ามันจะไม่ระเบิดหรือปล่อยรังสีอันตรายใส่เราระหว่างทางก็พอแล้วละ” Guillermo ตอบ

ทาง Dutch เมื่อเห็นทาง Guillermo ส่งสัญญาณให้เริ่มได้เขาก็ทำการเริ่มใช้ Sensor สแกน Monolith นั้นทันที การ สแกนใช้เวลาไม่นาน เมื่อสแกนเรียบร้อย Dutch ก็ส่งผลให้ลูกเรือทุกคน และจริงอย่างที่กัปตันอาฮับว่าไว้ ผลสแกนไม่พบความผิดปกติใดๆ ไม่มีกัมมันตรังสี, ไม่มีสารไวไฟ และไม่มีไวรัสอวกาศ จะมีอย่างหนึ่งที่ดูจะเตะตาเหล่าลูกเรือบีแบพอยู่บ้างคืออุณหภูมิภายในของโมโนลิธที่ต่ำระดับตู้แช่แข็งและไม่เห็นรายละเอียดภายใน คล้ายกับกล่อง Server นิรภัยที่ป้องกันการตรวจสอบจากภายนอก

"ถ้าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เราออกเดินทางกันเลยดีมั๊ย จะว่าไปพวกคุณรู้จัก Leviathan Crossing ดีแค่ไหน?" กัปตันอาฮับถามขึ้นอย่างอารมณ์ดี

"ก็รู้จักมันดีพอว่าไม่ควรจะผ่านเข้าไปละนะ" Guillermo ตอบ

กัปตันอาฮับยิ้มมุมปาก บอกกับลูกเรือว่า "คงอีกสักพักกว่าจะถึง Leviathan Crossing ไว้ผมเล่าให้พวกคุณฟังระหว่างทางน่าจะดีกว่า ไม่ต้องห่วง สถานที่แห่งนี้มีเรื่องเล่ามากมายทั้งจริงทั้งเพ้อฝันให้ฟังได้ไม่เบื่อเลยล่ะ!"

ได้ยินดังนั้นทั้งหมดจึงเตรียมยานและออกเดินทาง และข้อมูลดังต่อไปนี้คือเรื่องราวของ Leviathan Crossing ที่พวกคุณได้ยินจากกัปตันอาฮับ

“มันเป็นสถานที่อันตราย แต่ก็มีความลึกลับมากมายที่รอให้เราได้ค้นพบ ผมจะเล่าให้พวกคุณฟังเอง ทั้งเพื่อความบันเทิงและเป็นข้อควรระวังระหว่างเข้าไปในพื้นที่ Leviathan Crossing เป็นสุสานยานอวกาศขนาดใหญ่พอๆกับระบบดาวระบบหนึ่ง ที่จริงแล้วมันคือเศษซากของการสู้รบในครั้งอดีตระหว่างยานของมนุษย์และสัตว์ยักษ์อวกาศที่พวกเราเรียกมันว่า Leviathan มนุษย์ล่า Leviathan เพื่อนำอวัยวะของพวกมันมาใช้ประโยชน์ ที่จริงเรื่องราวก็คล้ายๆกับเรือล่าวาฬบนโลกเก่านั่นแหล่ะ” อาฮับเล่าด้วยแววตาเป็นประกาย

“การล่าดำเนินไปนานหลายศตวรรษ Leviathan มากมายถูกล่า ชีวิตมนุษย์และยานรบมากมายต้องสูญสิ้น แต่ในท้ายที่สุดพวก Leviathan ตัดสินใจที่จะถอยร่นไปยังอวกาศส่วนลึก ทิ้งไว้แต่เพียงเศษซากของการสู้รบที่ยังคงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่แน่นะ ระหว่างการเดินทางอาจเจอโครงกระดูกของพวก Leviathan ลอยไปลอยมาอยู่ในอวกาศก็ได้”

"กลัวจะเจออย่างอื่นสิไม่ว่า ไม่ว่ามีข่าวลือว่ามีพวก Corporate ไปทดลองอะไรอย่างอันตรายๆแถวๆนั้นหรือ" Dutch แทรกขึ้นมาด้วยสีหน้ากังวล

"นั่นก็ด้วย หรือแม้แต่เรื่องยานผีนักล่าวาฬก็มีนะเท่าที่เคยได้ยิน" กัปตันอาฮับปั่น

"ฮะๆๆๆ อย่ามาพูดหลอกให้พวกข้ากลัวหน่อยเลยไอ้พวกผีสางมันมีแต่พวกที่อยู่ในดาวบ้านนอกเท่านั้นแหละที่จะเชื่อ" Dutch ตอบกลับ เขาไม่คิดว่าในยุคนี้แล้วจะมีคนเล่าเรื่องผีอยู่อีก

"กระดูก Leviathan งั้นเหรอ? นั่นน่าสนใจมาก ถ้าเจอเข้าแล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็อยากนำมาตรวจดูสักหน่อย" Franchetti ตาเป็นประกาย ก่อนจะทำสีหน้าเซ็งเมื่อได้ยินเรื่องผีนักล่าวาฬ "ยานผี? ยุคนี้กันแล้วเรื่องผีนี่หลอกเด็กยังไม่ได้ด้วยซ้ำ บอกว่าดาวเคราะห์มีรูปร่างแบนยังน่าเชื่อถือกว่า" Franchetti เริ่มผ่อนคลายกับบรรยากาศการพูดคุย

"เห็นมะ เพื่อนข้ายังคิดเหมือนกันเลย" Dutch พยักเพยิดไปทาง Franchetti

"แต่ซอมบี้อวกาศก็พอเป็นไปได้ใช่มั๊ยล่ะ ติดไวรัสอวกาศกันทั้งลำเรืออย่างที่หมอ Guillermo ระแวงยังไงล่ะ" กัปตันอาฮับแสยะยิ้ม ยังคงพยายามปั่นต่อ

"ใช่ พวกซูเปอร์บัค เชื้อดื้อยาที่เกิดจากการทดลองอาวุธชีวภาพโบราณจากสงครามโลกครั้งที่ 4 ปี 2249 ที่ทำให้พวกเขาใช้ศพแทนทหารได้หรือเปล่า ทุกวันนี้เชื้อก็ยังล่องลอยอยู่ในอวกาศนี่ เพราะพวกมันฆ่าไม่ตาย พอจบสงครามก็เลยต้องจับพวกมันใส่กระสวยแล้วยิงออกมานอกดาว แต่สุดท้ายก็ไลฟ์บอย เลยต้องย้ายมาอยู่ Bastion กันแทนโลกไง เคยเรียนกันมาบ้างใช่ไหมละตอนเด็กๆ" Guillermo ทบทวนความรู้เก่าๆแล้วกลับไปนั่งประจำที่ของเขา "แต่ไม่ต้องห่วงไปหรอก เดี๋ยวนี้ฉีดวัคซีนกันหมดแล้ว ถึงเจอพวกมันไปก็ไม่ติดเชื้อหรอก แต่ก็ยังโดนพวกมันรุมทึ้งได้อยู่ดีละนะ"

Dutch ที่ได้ยิน Guillermo พูดเรื่องวัคซีนก็แอบเหงื่อตกเล็กน้อยเพราะว่าเขาได้แอบเอาเงินที่รัฐบาลให้มา 10,000 ED (Earth Dollar) เพื่อใช้ฉีดวัคซีนไปเปย์สาวๆ ในบาร์จนหมดเพราะไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องมาผ่านแถวๆนี้

“วัคซีนนั่นมันของที่พวกรัฐบาลดาวต่างๆจะฉีดให้ฟรีใช่รึเปล่า? จำได้ว่าวัคซีนจากดาว Zeno ไม่ค่อยนิยมและมีคนบนดาวจำนวนมากต่อต้านไม่ยอมฉีด บางคนถึงกับย้ายดาวชั่วคราวไปฉีดจากดาวในระบบข้างเคียงด้วยนิ” Franchetti เสริม นึกไปถึงช่วงวิกฤตวัคซีน

"ก็นะ บางคนได้วัคซีนดีก็ฉีดสองเข็ม บางคนฉีดบูสต์ไป 4 เข็มก็มี แต่สุดท้ายก็ฉีดกันครบนั่นละ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ฉีดกันตั้งแต่เด็กเกิดอายุยังไม่ทันสองขวบแล้ว เหมือนวัคซีนบาดทะยักนั่นละ" หมอประจำยานกล่าว

“คิดแล้วก็น่าสนใจที่วิทยาการพวกเราเดินทางข้ามอวกาศกันแล้วแต่ก็ยังมีคนตายเพราะไม่ได้ฉีดยาหลอดเล็กๆตอนยังเด็ก” Franchetti พูดเสร็จก็ขำในลำคอ

"หรือจะละทิ้งเนื้อหนังแบบพวก Cybermen ละจะได้ไม่ต้องมาพึ่งไมโครบ, จุลินทรีย์ เพื่อมีชีวิตรอด ฮ่าๆ" Guillermo กล่าว แอบจิกอีกเผ่าพันธุ์เล็กน้อย

ในะหว่างที่ทุกคนคุยกันออกรสออกชาติ Dutch ก็ได้ขับยานมาจนระบบแจ้งว่ากำลังจะถึงพิกัดของ Leviathan Crossing เขาจึงประกาศผ่านระบบกระจายเสียงในยาน "เราจะถึง Leviathan Crossing ในอีก 30 นาที ให้ทุกคนเตรียมตัวเพื่อสลับออกจากระบบ FTL"


เบื้องหน้าของยานคือสุสานยานอวกาศกว้างสุดลูกหูลูกตา มีทั้งเศษซากยานทั้งที่จำเค้าโครงเดิมไม่ได้และแบบที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ลอยละล่องอยู่เต็มไปหมด ที่จริงแล้วที่นี่น่าจะเป็นสวรรค์ของซาเล้งอวกาศถ้าหากไม่ติดเรื่องความเสี่ยงจากการถูกขยะอวกาศเหล่านี้ลอยมาชนหรือไปเจออะไรอันตรายที่รั่วไหลมาจากยานพวกนี้เข้า แต่ที่แน่ๆ ด้วยปริมาณขยะอวกาศขนาดนี้ บีแบพไม่สามารถใช้ความเร็วสูงสุดในการฝ่าไปได้อย่างแน่นอน เพราะเส้นทางการโคจรของขยะอวกาศพวกนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การจะขีดเส้นทางรวดเดียวไปยังทางออกเลยนับว่าเป็นไปไม่ได้ วิธีที่แน่นอนที่สุดคือต้องค่อยๆคำนวณเส้นทางทีละส่วน จากทางเข้าไปยังบริเวณที่ขยะอวกาศไม่หนาแน่น หลังจากนั้นก็คำนวณเพื่อไปยังจุดถัดไป แต่ละช่วงจะยาวแค่ไหนขึ้นอยู่กับยาน, นักบิน และความแม่นยำในการคำนวณ

และไม่แน่ว่าพวกเขาอาจพบเจอขุมทรัพย์หายากกลับไปขายที่ Bastion 4 ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ก็เป็นได้

“Leviathan Crossing สมประวัติของมันจริงๆ ซากยานเต็มไปหมดการคำนวณเส้นทางไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ที่น่ากังวลมากกว่าคือรังสีและสารเคมี Dutch นายตรวจสอบ Sensor ยานไว้ด้วยก็ดีฉันไม่หวังว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่รอบๆ แต่ป้องกันไว้ก่อนน่าจะเป็นเรื่องที่ดี” Franchetti พูดขึ้นระหว่างที่ยืนดูซากยานจากทางหน้าต่าง มองหาของน่าสนใจเพื่อเอาไปขายทำกำไร ส่วนDutch ที่กำลังเช็คระบบทั้งหมดว่าทำงานได้ปกติหรือไม่ ก็ได้หมุนเก้าอี้ไปกดปุ่มเพื่อทำการสแกนตามที่ Franchetti บอก

Franchetti หลังจาก Franchetti ดูบรรยากาศอยู่ครู่นึงเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าระบบหล่อเย็นตัวใหม่นั่นไม่ใช่รุ่นที่ใช้ประจำ “เดี๋ยวขอไปเช็คเจ้าหนูตัวใหม่ก่อนเผื่อมันดื้อ” พูดจบก็ไปตรวจสอบความเรียบร้อยหลังจากผ่านการวาร์ป

Franchetti ตรวจสอบอุณหภูมิของระบบวาร์ปและพบว่าทุกอย่างปกติ อุณหภูมิเท่าเดิมราวกับไม่เคยเปิดใช้งานมาก่อน ซึ่งปกติจนผิดปกติ แม้ระบบหล่อเย็นจะดีขนาดไหนก็ไม่สามารถมีประสิทธิภาพถึงขนาดระบายความร้อนส่วนเกินออกจนหมด ไม่ต้องพูดถึงอะไหล่ retrofit ที่เขาดัดแปลงมาใช้งาน

"เฮ้ย Fran เครื่องเป็นไงบ้างถ้าไม่มีอะไรจะได้หาทางผ่านที่นี้ " Dutch ตะโกนถาม

Franchetti เหงื่อผุดออกมาบนใบหน้าก่อนรีบเดินไปทาง Dutch “เป็นเรื่องแล้วสหาย เครื่องมันไม่ร้อนอะไหล่ที่ได้มานี่เป็นของปรับจูนให้พอใช้งานได้เฉยๆยังไงมันก็ต้องร้อนบ้างแต่นี่อย่างกับมันไม่เคยถูกใช้งาน” สีหน้ากังวลกับสิ่งที่ตนเจอ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างก็ทำงานเป็นปกติ แต่เหมือนความร้อนนั้นถูกดูดกลืนไปโดยบางอย่างที่ Fran ไม่สามารถอธิบายได้


ไม่นานการสแกนก็เสร็จสิ้น ผลการตรวจจับไม่พบกับสัญญาณชีพใดในบริเวณรอบๆ อย่างน้อยก็จนถึง Resting Area ที่บีแบพต้องไปเป็นจุดแรก

"เรื่องขับยานก็ฝากด้วยนะคุณ Dutch เดี๋ยวฉันจะคอยเตรียมชุดอุปกรณ์รักษาทันใจไว้ เผื่อมีอะไรเกิดไม่คาดฝันจะได้หยิบมาใช้ได้ทันที" Guillermo พูดขึ้น เขามักคิดเผื่อสถานการณ์ต่างๆไว้จนเป็นนิสัย เพราะในอดีตช่วงที่เป็นหมอบนดาวเคราะห์เขามักพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันระหว่างทำงานเป็นประจำ

ทุกอย่างพร้อมเดินหน้า แม้จะมีเรื่องที่น่าสงสัยเต็มไปหมด แต่ในตอนนี้ Dutch ต้องทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ลุล่วง เขาต้องประเมินความเสี่ยงและเลือกเส้นทาง ไปให้ไกลแต่ประหยัดเวลา หรือจะค่อยๆไปแบบช้าแต่ชัวร์

"แXงเอ้ย มีแต่เรื่องจริงๆช่วงนี้ " ถ้าตามสถานการณ์ปกติ Dutch ก็คงจะผ่านไปได้แบบสบายๆ แต่ด้วยเครื่องยนต์ที่ไม่เป็นใจบวกกับสถานการณ์ที่ยากต่อการเตรียมตัวล่วงหน้าก็อาจทำให้ประสบปัญหาอยู่บ้าง แต่ด้วยชั่วโมงบินมากมายที่มีร่วมกับ B4PS เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถใช้ความคุ้นชินและประสบการณ์มาทดแทนได้อย่างแน่นอน "พวกเอ็งจับกันให้ดีๆล่ะ ครั้งนี้ไม่นิ่มแน่นอน"

"เดี๋ยวก่อน" Guillermo พูดพลางควานหากระปุกทรงกระบอกเล็กๆ ไม่เกินขนาดกระปุกยาดม เขาบรรจงค่อยๆเปิดมันออกแล้วหยิบยาออกมาหนึ่งเม็ด เป็นยาเม็ดกลมสีแดงขนาดเล็ก ก่อนจะนำมันใส่แก้วช็อตไปให้ Dutch "กินก็ต่อเมื่อคิดจะไปให้สุดเท่านั้น เข้าใจไหม? คุณรู้ดีถึงผลของมัน"

สิ่งที่ Guillermo ยื่นให้นั้นคือยาเสพติดชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้าใช้ในปริมาณที่พอเหมาะจะสามารถปลดล็อคขอบเขตการรับรู้และตื่นรู้ของผู้ใช้ได้ ข้อดีคือมันทำให้ทุกอย่างดูช้าไปหมดสำหรับผู้ที่กินมันเข้าไป แต่ข้อเสียก็คือทุกอย่างจะดูช้าไปหมดสำหรับผู้ที่กินมันเข้าไป ประสาทสัมผัสของผู้ใช้จะสามารถตอบสนองได้ในระดับไมโครวินาที มีผล 1 ชั่วโมง แต่สำหรับผู้ใช้แล้วจะรู้สึกยาวนานเหมือน 1 พัน ชั่วโมงเลยทีเดียว

ไม่นานหลังจากยาถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทุกอย่างรอบตัวของ Dutch ดูช้าลง สมองประมวลผลเส้นทางรวดเร็วซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ จนเส้นทางซึมซาบเข้าไปในความทรงจำ ทุกโค้งทุกการเร่ง ราวกับเคยผ่านมันมาแล้ว Deja Vu I have been in this place before!

ในความเงียบงันของอวกาศ Dutch นักบินผู้มีฝีมือระดับแนวหน้านั่งประจำอยู่ที่เก้าอี้นักบินในห้องควบคุมของยานอวกาศ รอบตัวเขาคือแผงควบคุมที่เต็มด้วยไฟกระพริบและหน้าจอแสดงผลที่แจ้งเตือนถึงอันตรายรอบทิศทาง เศษขยะอวกาศตั้งแต่โลหะชิ้นเล็กจนถึงแผงโซลาร์เซลล์ที่พังยับเยินล่องลอยอยู่ทุกหนแห่งเหมือนเขาวงกตแห่งหายนะ

"ต้องใช้ทุกอย่างที่มี..." เขาพึมพำกับตัวเอง ขณะปรับคันบังคับด้วยการเคลื่อนไหวที่แม่นยำและฉับไว โค้งตัวอย่างงดงาม หลบเศษเหล็กชิ้นใหญ่ที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ระบบก็เตือนอีกครั้ง ชิ้นส่วนดาวเทียมเก่าหมุนวนเข้ามาทางด้านซ้าย Dutch สูดหายใจเข้าลึก มือทั้งสองยังคงจับคันบังคับไว้มั่น ขณะที่เขาบิดยานให้หมุนกลับด้านในจังหวะที่เหมาะสมที่สุด "อีกนิดเดียว..." เสียงของเขาเคร่งขรึมพร้อมกับสายตาที่จดจ่อ จังหวะการหลบหลีกแต่ละครั้งเหมือนกำลังเต้นระบำในอากาศ ทุกการเคลื่อนไหวใช้พลังงานและสมาธิอย่างเต็มที่ เหงื่อเริ่มหยดลงบนหน้าผาก แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก แต่ความกดดันที่เขาแบกรับกลับหนักหน่วง เมื่อยานหลุดจากเส้นทางที่เต็มไปด้วยขยะอวกาศในที่สุด Dutch ก็ตั้งสติและผ่อนลมหายใจยาว ท้องฟ้าอวกาศเบื้องหน้ากลับมาสงบอีกครั้ง แต่หัวใจของเขายังคงเต้นระรัว

หลังจาก Dutch ได้แสดงอภินิหารหลบสิ่งกีดขวางตามทางบินของเรือบีแบพได้อย่างไร้ที่ติ จนผ่านส่วนที่อันตรายจากสิ่งกีดขวางไปได้ Dr. Guillermo ก็สังเกตุเห็นถึงผลของยาที่เขาให้กับ Dutch ทั้งม่านตาที่ขยาย เหงื่อที่ท่วมหลัง ลมหายใจที่ถี่จนน่ากลัว เขาจึงตัดสินใจหยิบปืนยิงยาสลบมายิงใส่ Dutch เพื่อให้เขาหลับผ่านผลของยาไปได้ก่อนที่หัวใจของ Dutch จะเต้นแรงจนทะลุอกของเขาออกมาเหมือน Face Hugger ในหนังคลาสสิคเรื่องเอเลี่ยนจากสี่ร้อยกว่าปีก่อน "ผมคงต้องขอให้คุณหลับไปก่อนละนะคุณ Dutch" Dr. Guillermo พูดหลังจากที่ยิงยาสลบใส่ Dutch เป็นที่เรียบร้อย กว่า Dutch จะตื่นอีกครั้งผลของยาก็สิ้นฤทธิ์พอดี ระหว่างนี้ยานบีแบพก็ทำได้เพียงบินในโหมดออโต้ไพลอตไปตามเส้นทางที่เราได้พลอตเอาไว้ล่วงหน้า

หลังจากเห็นยานเริ่มทำงานแบบ Auto Pilot Franchetti ก็เริ่มตรวจสอบและคำนวณเส้นทางโดยให้ AI ของยานช่วยคำนวณไปด้วย “อืม ค่านี้ช่างมัน อันนี้ก็ไม่สำคัญ อันนี้ประมาณไปก็ได้ Pi เหรอ 3 = e อืมๆ”

ถือเป็นเวลาที่ดีที่ทุกคนจะได้พักระหว่างที่รอให้ยานทำงานของมันไป ทุกอย่างดูปกติดีจนกระทั่งลูกเรือทั้งสามของยานบีแบพได้ร่วมประชุมประจำวันเพื่ออัพเดตเรื่องต่างๆ พวกเขาพบว่าช่วงพักที่ผ่านมาพวกเขา "ฝัน" แบบเดียวกัน

ในฝัน ยานบีแบพลอยอยู่ท่ามกลางเศษซากยานมากมายใน Leviathan Crossing สภาพเหมือนกับที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ไกลออกไปไม่มากปรากฏแสงสีฟ้าระเรื่อขึ้นที่อีกด้านของสุสานยานอวกาศแห่งนี้ แสงสีฟ้าค่อยๆเข้มขึ้น จนในที่สุดเป็นรูปเป็นร่างคล้ายวาฬยักษ์ แต่ลักษณะผิวและอวัยวะหลายมีลักษณะแปลกออกไป ทีายริเวณโหนกหัวมีแผ่นกระดูกหนาปกป้อง ตรงกลางแผ่นกระดูกมีผลึกสีแดงฝังอยู่ สิ่งนี้คือ Leviathan หรือวาฬอวกาศในตำนานที่หนีหายไปในอวกาศห้วงลึกเมื่อนานมาแล้ว Leviathan แหวกว่ายในความดำมืดของอวกาศราวกับเริงระบำอยู่ในห้วงลึกแห่งท้องทะเล แสงสีฟ้าอาบซากยานต่างๆ บางซากยานปรากฏแสงสีฟ้าระเรื่อขึ้นมาจากพื้นผิวเป็นการตอบรับ สุดท้ายแสงสีฟ้ารูปร่างเป็นวาฬอวกาศก็พุ่งตรงมาที่บีแบพ พวกคุณราวกับถูกบังคับให้จับจ้องอยู่ที่ผลึกสีแดงตรงหัวโหนกของมัน มันพุ่งเข้ามาด้วยความเร็งสูง ก่อนจะมลายหายไปเมื่อเข้าถึงยาน ภาพฝันกลับกลายเป็นสีดำสนิท ในความมืด พวกคุณเห็นเพียงผลึกสีแดงส่องแสงวูบวาบติดดับเป็นจังหวะและอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วราวกับความร้อนในกายถูกบางสิ่งดึงออกไป

เสียงกุกกักจากเครื่องยนต์เก่าคร่ำครึของบีแบพดึง Dutch ให้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เขารู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งกาย เหงื่อเย็นผุดขึ้นตามหน้าผากเหมือนเพิ่งผ่านพ้นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวจนเกินจะบรรยายได้ Dutch สะบัดหน้า พยายามสลัดภาพฝันร้ายนั้นออกไป แต่ภาพของ Leviathan และผลึกสีแดงที่ส่องแสงวูบวาบยังฝังลึกในจิตใจ สีแดงที่ดูเหมือนจะกรีดร้องเข้ามาในหัวของเขา ทำให้เขาแทบลืมหายใจ เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าของ Leviathan ในตำนาน แต่การได้สัมผัสมันด้วยตา แม้ในฝัน ก็เหมือนว่าเขาได้เชื่อมโยงกับบางสิ่งที่เกินความเข้าใจ มือของเขาสั่นระริกขณะที่เอื้อมไปสัมผัสปุ่มควบคุมบนแผงหน้าปัด เขามองออกไปยังความเวิ้งว้างของอวกาศผ่านกระจกหน้าของยาน เศษซากของยานที่ลอยเคว้งคว้างใน Leviathan Crossing ดูไร้ชีวิตชีวา แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีบางสิ่งที่กำลังจ้องมองเขาอยู่

"ไม่ใช่แค่ฝันธรรมดาแน่..." เขาพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงแหบพร่า "มันต้องมีอะไรบางอย่าง" เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้นักบิน ขาทั้งสองข้างเหมือนจะไร้เรี่ยวแรง เหลือบมองไปที่จอมอนิเตอร์ที่แสดงค่าพลังงานของยาน ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าค่าอุณหภูมิภายในลดต่ำผิดปกติ ทั้งที่ระบบทำความร้อนควรจะทำงานตามปกติ

"วาฬก็คือ 9 แดงก็คือ 1 ฟ้าก็คือ 3 ไม่สิแต่ถ้าเป็นสายรุ้งฟ้าจะเป็น 2 แดงเป็น 7 ....913 หรือ 927 นะงวดนี้" Guillermo พึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง พลางชงกาแฟดำให้ตัวเอง "เฮ้ พวกคุณจะเอากาแฟด้วยไหม? มีแค่ใส่กับไม่ใส่น้ำตาลแค่นั้นละ จะเอาแบบไหน?" เขาถามไถ่คนอื่นๆภายในยานพลางจิบกาแฟที่ร้อนละลายเพดานปากหน้าตาเฉย

"ขอแบบน้ำตาลสามช้อน" อาฮับพูดขึ้น "ท่าทางวันนี้เราคงต้องการน้ำตาลเพื่อให้ดีดสักหน่อย ผมว่าทุกท่านอาจสนใจซากยานลำนั้นที่ลอยอยู่ตรงโน้น ผมเองก็รู้สึกสนใจมันไม่น้อยเช่นกัน" อาฮับชี้ไปที่หน้าจอหนึ่งที่แสดงภาพจากภายนอก มันเป็นซากยานขนาดใหญ่ลำหนึ่ง "มันคือยานล่า Leviathan สภาพดูสมบูรณ์มาก เห็นที่หัวยานนั่นมั๊ย มันคือฉมวกล่าวาฬแบบ Rail Gun อาวุธโบราณนะเนี่ย"

“เอา 1/4 ช้อนชา Doctor” Franchetti ตอบก่อนมองไปตามที่อาฮับชี้ “เดี๋ยวผมให้ AI RIP ช่วยตรวจสอบสักครู่เผื่อเรารู้อะไรเกี่ยวกับมันบ้าง RIP เป็น AI version ล่าสุดที่บริษัท AppXta ผลิตขึ้นมา ค่า License ที่ผมจ่ายไปเมื่อ 6 เดือนก่อนนี่แพงพอๆกับยานโดยสารภายในดาวเคราะห์เลยนะ” พูดจบก็ให้ RIP ช่วยตรวจสอบก่อนลงมือต่อด้วยตัวเองหลังดื่มกาแฟเสร็จ

"ดูคุณรู้เรื่องLeviathanเยอะจังเลยนะคุณอาฮับ ถ้าไม่บอกผมคงคิดว่าคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้วาฬอวกาศนั่น" Guillermo พูดพลางยื่นกาแฟที่ใส่น้ำตาลไปสามช้อนจนรสชาติหวานเข้มข้นให้กับผู้ว่าจ้าง "เอ้า นี่ของคุณ ส่วนของ Franchetti กาแฟใส่น้ำตาล 1 ช้อน สำหรับวิศวกรอย่างคุณ 1/4 ก็พอๆกับ 1 สินะถ้าผมจำไม่ผิด"

"ไม่น้ำตาล Doc" Dutch บอกกับ Guillermo ก่อนจะนั่งลงรอคำอธิบายของอาฮับ

"เราทุกคนล้วนมีโลกของการผจญภัยในจินตนาการ บังเอิญว่าของผมคือตำนานการล่าวาฬอวกาศพวกนี้ก็เท่านั้น" อาฮับจิบกาแฟหวานเจี๊ยบ "เสียดายที่มันพ้นยุคมาแล้ว"

ไม่นาน RIP ก็ช่วยสแกนเสร็จเรียบร้อย มันลิสต์รายการอะไหล่ที่สามารถเก็บไปขายได้บนยานล่าวาฬพร้อมระบุสภาพความสมบูรณ์ให้พร้อม ส่วนการสแกนหาสัญญาณสิ่งมีชีวิต ไม่พบสัญญาณชีพใดบนยาน การสแกนพลังงาน พบพื้นที่ที่อุณหภูมิต่ำกว่าบริเวณอื่นระดับตู้แช่แข็ง และเหมือนจะปิดกั้นการสแกนคล้ายกับกล่อง server นิรภัย

Guillermo ยื่นชาคาร์โมมายไม่ใส่น้ำตาลให้ Dutch เพราะรู้ว่าหัวใจของ Dutch รับภาระมาเกินกว่าจะดื่มกาแฟในตอนนี้

"เด็กผู้ชายก็ต่างมีฝันจะออกผจญภัยกันทั้งนั้นละนะ เป็นเรื่องปกติ ถึงจะเกิดไม่ทันล่าวาฬอวกาศ แต่ก็ทันเล่นเกม Spacefarer อยู่ นี่หลานชายผมก็ติดงอมแงมเลย เห็นมี Leviathan ให้ล่าด้วย คุณอาฮับก็ลองหามาเล่นดูสิครับ น่าจะถูกใจ" Guillermo กล่าวพลางแสดงรูปปกเกมให้อาฮับดูจากหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพา หลังจากนั้นจึงหันไปถาม Franchetti

"เจออะไรน่าสนใจบนยานนั้นบ้างไหม Franchetti? มีร่องรอยสิ่งมีชีวิตรึเปล่า?"

Franchetti ดื่มกาแฟประมาณน้ำตาลจาก Guillermo ก่อนตอบคำถาม “เจอของมีค่าเยอะเลยในยานนั่นสภาพก็ประเมินมาได้ดี ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่ตรวจพบ แต่เจอ… จะว่าไงดีคล้ายตู้ Server นิรภัยน่ะ Doctor อุณหภูมิเย็นเฉียบแต่สแกนภายในไม่ได้” เขาอธิบายก่อนจะดื่มกาแฟอีกอึกนึง

"ไว้ถึง Speam Sale ครั้งหน้าผมจะลองหามาเล่นก็แล้วกันนะ" อาฮับพูดพลางมองไปยังอวกาศด้านนอก "แต่คงไม่มีอะไรเทียบได้กับการผจญภัยในอวกาศด้วยตัวเองแบบนี้"

"เอาไงละทุกท่าน แวะทำกำไรกันหน่อยไหม ไหนๆก็ผ่านมาแล้ว คุณอาฮับเองก็คงอยากเห็นภายในเรือล่าLeviathanของจริงใช่ไหมละว่าเป็นยังไง" หมอประจำยานปรับเปลี่ยนบทบาทเป็นพ่อค้า เริ่มชักชวนเพื่อนๆให้คว้าโอกาสทำเงิน

"เจอฝีมือขับยานระดับครึ่งทางได้ในรอบเดียว แค่นี้ก็ชดเชยเวลาที่เสียไปได้เกินพอแล้ว จะแวะสักหน่อยก็ไม่เป็นไร และอย่างที่คุณหมอว่า ผมเองก็อยากดูยานล่าวาฬของจริงสักครั้ง"

"คุณ Dutch ช่วยจอดเทียบยานเรากับยานร้างนั่นที เดี๋ยวผมจะไปเตรียมลำแสงปรับสภาพไว้ให้ เราจะได้ทนต่อรังสีและหายใจบนยานนั้นได้อย่างปกติ" Guillermo หันไปบอกกับ Dutch ก่อนจะควักปืนที่มีรูปร่างคล้ายดินสอยักษ์ติดไกปืนขึ้นม

Dutch ที่ยังไม่ได้ตื่นดีมากนัก แต่ก็พยักหน้าก่อนที่จะลุกไปบังคับยานตามที่ Doc แนะนำ

“ผมลอง List ของจากที่ AI สแกนเจอ ผมคัดมาจนเหลือแต่ของที่น่าสนใจ ผมส่งข้อมูลให้พวกคุณเรียบร้อย บางอย่างมันอาจเสียหายแต่ผมว่ายังไงราคาและกลไกการทำงานของอุปกรณ์พวกนี้คุ้มเวลาเราแน่นอน” Franchetti เรียก List อะไหล่ขึ้นมาบนจอแสดงผลในยาน

· Leviscan อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจจับการมีอยู่ของ Leviathan

· Celestial Cyro-tank ตู้แช่ชิ้นส่วน

· Aether Reactor อุปกรณ์สร้างพลังงานของยาน

· Hades Lance ฉมวกยิงวาฬ Leviathan

"ยังไงก็ได้ทั้งนั้นแหละ" Dutch ขึ้นเสียงเล็กน้อยก่อนที่จะควบคุมอารมณ์ เขาได้ถอนหายใจ "ข้าแค่มีลางสังหรณ์ บางอย่างไม่ค่อยสู้ดีนักแต่ก็เอาเถอะ อุปกรณ์อะไรที่เราจะหาเจอก็ดีทั้งนั้น ยานของเราต้องการชิ้นส่วนมา Upgrade อยู่แล้ว”

"ฉันเองก็สงสัยเรื่องเจ้าเครื่อง Server เย็นยะเยือกนั่น ยังไงก็อยากไปตรวจสอบให้ได้ละนะ ยานบินยังไงก็ต้องมีกล่องดำ ถ้าเจ้านั่นเป็นกล่องดำของยานล่าวาฬร้างนั่นละก็ข้อมูลข้างในที่หลงเหลือจากยุคล่าวาฬคงมีค่ามหาศาลแน่ๆ เผลอๆคุณอาฮับอาจจะซื้อต่อจากมือของเราเลยก็ได้ เราไม่ต้องเสียเวลาไปหาผู้ซื้อด้วยซ้ำ" หมอประจำยานซึ่งตอนนี้รับบทพ่อค้ากล่าว

“หมอหรือโจรวะเนี่ย รีดไถซะน่ากลัว” Franchetti บ่นพึมพำ

“แหม่ คุณหมอ ไหนๆก็เสี่ยงขึ้นมาบนยานร้างด้วยกัน ไม่คิดจะมีส่วนลดให้หน่อยเหรอ” อาฮับพูดทีเล่นทีจริง แต่สายตาของเขากวาดไปทั่วยาน มองมันด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก “ว่าแต่เราจะไปดูอะไรกันก่อนดีล่ะ”

สมาชิกเลือกที่จะไปดูตู้ Server ก่อน ระหว่างทางเดินเข้าไปพวกเขาสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่ลดลงเมื่อเข้าใกล้ ที่ปลายทางเห็นแสงสีฟ้าเรืองๆ สลับกับสีแดงวูบวาบเป็นจังหวะเชื่องช้า จะว่าไปก็คล้ายภาพที่พวกเขาเห็นในความฝันอยู่ไม่น้อย

ในความมืดของยานเมื่อเห็นแสงนั้น ในใจของ Dutch ก็เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้บางอย่างขึ้นมา เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ พยายามไม่ให้ใครได้ยิน

"บางอย่างมันไม่ชอบมาพากลเลย... ฉันไม่สบายใจกับแสงนั่น...ฟ้าแดงวูบๆ แบบนั้นมันดูเหมือนอะไรที่เราไม่ควรเข้าใกล้ แต่จะให้ฉันทิ้งพวกเขาไว้ มันก็ไม่ใช่ฉัน...โธ่เอ๊ย! ถ้าอะไรผิดพลาดขึ้นมา ยานขนส่งลำนี้ก็พร้อมจะบินหนี แต่ตอนนี้ฉันจะรอก่อน...ฉันพร้อมจะเคลื่อนไหวทันทีที่จำเป็น..."

Franchetti ที่เห็นแสงแดงๆฟ้าๆจึงหยิบแว่นกรองแสง Optimus มาสวมแล้วค่อยๆ ใช้เครื่องมือของเขาในการตรวจสอบ “แสงแดงๆอย่างกับในฝัน แต่ฟ้าๆนี่ไม่เคยเจอ หวานฉิบ” Franchetti พยายามตรวจสอบอย่างรวดเร็วเพราะหนา

เมื่อเดินเข้าไปในห้อง Server พวกเขาพบว่าห้องนั้นเป็นห้องวงกลม ที่ศูนย์กลางของห้องมี "กล่อง Server" ตั้งอยู่ มันเป็นกล่องสีดำขนาดประมาณโลงศพ ลักษณะคล้ายโมโนลิธ รอบๆกล่องมีเก้าอี้ขับยาน 8 ตัวเรียงตามแนวเส้นรอบวงหันหน้าเข้าหากล่อง บนเก้าอี้แต่ละตัวมีซากมนุษย์แห้งเป็นมัมมี่นั่งอยู่ ที่หัวมีอุปกรณ์บางอย่างครอบอยู่ อุปกรณ์นั้นเชื่อมต่อกับกล่อง Server ตรงกลางห้อง ลูกเรือของยานบีแบพรู้สึกว่ากล่อง Server หน้าตาคุ้นๆ


"หน้าตาเหมือนกล่องที่เราจะเอาไปส่งเลยนี่แต่ใหญ่กว่า คุณอาฮับคุณพอจะรู้อะไรรึเปล่า" Guillermo พูดพลางหยิบแว่นสายตาขึ้นมาใส่

“ร่างแห้งคงถูกไอเย็นรักษาสภาพไว้ แต่ไอ้กล่อง Server นี่อย่างกับของที่อยู่บนยานเราเลย กัปตัน ความเห็นคุณคงจำเป็นมากแล้วล่ะก่อนที่ผมจะลอง Hack กล่องนี่ดู” ว่าจบ Franchetti ก็เดินไปส่องๆซากศพติดเก้าอี้พลางรออาฮับตอบ

ระหว่างทุกคนกำลังสนใจกับของในห้อง มือของ Dutch ก็ไปโดนเข้ากับซากมัมมี่ ซากนั้นล้มลงจากเก้าอี้ อุปกรณ์เชื่อมต่อหลุดออก เผยให้เห็นร่างแห้งกรอบ แต่ที่สะดุดตากว่าคือชุดที่พวกมัมมี่ใส่ พวกเขาแต่งตัวเหมือนกัปตันเรือบนโลกในยุคศตวรรษที่ 19 หรือในอีกแง่หนึ่ง พวกเขาแต่งตัวเหมือนกัปตันอาฮับ!

ทุกอย่างชัดจนไม่มีช่องให้บ่ายเบี่ยง อาฮับถอนหายใจและเริ่มไขข้อสงสัยให้สมาชิกแต่ละคน

"คุณ Franchetti ผมเกรงว่าคุณคงจะไม่มีทาง Hack เจ้ากล่องนี้ได้หรอก มันคือกล่อง Server จริง แต่เกรงว่ามันคงไม่ใช่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์" เขากล่าว พลางผายมือไปรอบๆ "ที่พวกคุณกำลังดูอยู่คือสะพานเดินเรือของเรือล่าวาฬอวกาศ เจ้ากล่อง Server นั้นคืออวัยวะพลังจิตของพวก Leviathan ที่นำมาใช้ในการนำทางและค้นหาตัวอื่นๆ มันทำงานได้ดีทีเดียวแต่เราก็มีอะไรที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับพวกมันเยอะพอสมควร โดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อมนุษย์"

"นี่มันแจ็คพอตเลยนี่นา ผมคงต้องขอนำตัวมัมมี่พวกนี้ขึ้นยานเราไปวิจัยหน่อยละ ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็น missing link ที่จะทำให้พวกเราสามารถเข้าใจยุคล่า Leviathan ได้มากขึ้น" Guillermo พูดก่อนจะกดแผงวงจรที่ข้อมือของเขาพร้อมสั่งงาน Med-bot "Med-bot พามัมมี่พวกนี้ใส่เปลหามขึ้นยานเราไปซะ" เมื่อพูดเสร็จก็มีโดรนสี่ตัวบินออกมาจากกระเป๋าสะพายของเขา พวกมันรีบกางเปลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแล้วจับมัมมี่ตัวที่ Dutch บังเอิญไปชนขึ้นเปลและขนกลับไปที่ยานบีแบพ

"ส่วนสิ่งที่เรากำลังขนส่งกัน คืออวัยวะพลังจิตเหมือนกับสิ่งนี้ แต่ยังไม่ได้ติดตั้งและปรับแต่งสำหรับการใช้งานบนยานล่าวาฬ" อาฮับพูดพลางเข้าไปตรวจสอบโมโนลิธใกล้ๆ "เจ้านี่น่าจะหยุดทำงานแล้ว ไม่น่ามีอะไรต้องห่วง อาจถอดออกไปได้ แต่น่าจะต้องใช้เวลา" เขาพึมพำ หน้าตาดูเป็นกังวลเล็กน้อย

"มันจะนานกันสักแค่ไหนกัน" Dutch แทรกขึ้น เขาเปลี่ยน Omni tool ที่มือจาก Interface เป็น Nano Personal Chain Saw

“ระวังหน่อยล่ะ Dutch เดี๋ยวราคาร่วง” Franchetti เตือน Dutch ก่อนหันถามอาฮับ “Sensor ล่าวาฬเหรอ? คุณคิดว่าเก่าขนาดนี้ยังพอสามารถซ่อมได้รึเปล่า? ยังไงมันก็เป็น Sensor ที่ดีมากอันนึงเราอาจจะสามารถเจอจุดที่พวกวาฬหลบซ่อนตัวกันก็ได้ อย่างที่ Doctor ว่าเราอาจจะวิจัยและทำความเข้าใจโลกยุคก่อนได้มากขึ้น”

"คืออย่างนี้นะคุณ Dutch คุณ Franchetti เจ้า sensor เนี่ย มันใช้งานได้แน่ๆ แต่ประเด็นคือวิธีการใช้งาน มันคืออวัยวะพลังจิตของ Leviathan โดยปกติเราต้องใช้เนวิเกเตอร์แปดคนเชื่อมต่อกับสิ่งนี้ หรืออาจมากกว่านั้นถ้าอวัยวะมันใหญ่กว่าปกติ แล้วเชื่อมต่อกับเจ้าสิ่งนี้ด้วยพลังจิตของเราเพื่อใช้งาน นั่นแปลว่าเราต้องการเทคโนโลยีครบชุด ไม่ใช่แค่โมโนลิธ และอย่างที่สอง เคยมีผลแทรกซ้อนที่เรียกว่า การสิงสู่ทางจิต เกิดขึ้นกับเนวิเกเตอร์ที่ใช้งานเจ้าสิ่งนี้ ซึ่งมันร้ายแรงถึงขนาดจมยานได้เลยทีเดียว ส่วนการเชื่อมต่อสิ่งนี้เข้ากับยานโดยตรงยังไม่เคยมีการทดลองใช้เพราะยุคแห่งการล่ามันจบลงไปก่อน"

"เจ้า Sensor นี่ถูกใช้ตั้งแต่สมัยยุคล่าวาฬสินะ ผมอยากลองเชื่อมมันเข้ากับ AI หรือถ้าจะกล่าวคือ จิตเทียม ที่มนุษย์อย่างพวกเราสร้างขึ้นมาแค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว ขนเจ้านี่กลับยานไปก่อนดีกว่าแล้วเราหาของที่น่าสนใจที่เหลือต่อเผื่อชิ้นส่วนของวาฬอยู่จริงๆให้เราได้เห็นด้วยตาด้วย" Franchetti ที่จู่ๆก็นึก Idea แปลกๆได้โพล่งขึ้นมาก่อนเดินหาของน่าสนใจต่อ

ว่าแล้ว Dutch ก็เข้าไปพร้อมกับเลื่อยโฮโลแกรมและทำการรื้อถอนโมโนลิธตามคำแนะนำของ Franchetti ระหว่างที่รื้อถอนแสงสีฟ้าของโมโนลิธก็กระพริบถี่ๆตามจังหวะการตัด มีบางช่วงที่ตัดแรงไปนิด แสงสีฟ้าก็วิ่งผ่านสายเคเบิ้ลไปยังมัมมี่ ทำให้มัมมี่บางตัวลุกขึ้นมาเดิน กรีดร้องเสียงแหบพร่าและยกไม้ยกมือก่อนล้มลงไปเอง เป็นอย่างนี้จนการรื้อถอนเสร็จสิ้

“อืม... นี่สินะการสิงสู่จิตที่ว่า ขนาดตายแล้วยังควบคุมได้เลย”

"งมงายไปรึเปล่า นั่นมันก็แค่สภาวะหดเกร็งของกล้ามเนื้อเมื่อได้รับผลกระทบจากกระแสไฟฟ้าก็เท่านั้นละ ที่เรียกกันว่า Cadaveric Spasm ไง ร่างกายคนเราเต็มไปด้วยเส้นประสาท ศพมัมมี่เหล่านี้ก็ดูจะยังถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีในอุณหภูมิที่ต่ำจนผิวหนังยังเหลืออยู่ เพราะงั้นการที่กล้ามเนื้อแม้จะตายมานานแล้วขยับเพราะโดนกระแสไฟฟ้าก็ไม่ได้เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว" หมอประจำยานวิเคราะห์

“นี่มันบ้าไปแล้ว ถ้าไอ้การสิงสู่จิตนี่ถูกใช้มากกว่าแค่การเอามานำทางยานมันจะกลายเป็นกองทัพผู้ไร้การควบคุมเลยนะ” Franchetti อุทาน แต่พอ Doctor อธิบายเรื่องการหดเกร็งก็รู้สึกโล่งใจขึ้น “นั่นสินะ เมื่อครู่แค่ลองตกใจตามสถานการณ์เฉยๆน่ะ ฮ่าๆ”

Dutch เงยหน้าขึ้นมาจากเลื่อย เมื่อเขาถอดแว่นตากันแสง กับที่ครอบหูกันเสียง เขาหันไปมองรอบๆห้อง ก่อนจะเห็นศพใครก็ไม่รู้ล้มอยู่กลางห้อง พอเขาได้ยินสิ่งที่ Doc มันอธิบาย "มันก็ต้องแบบนั้นอยู่แล้วหรือเปล่าฟะ แล้วนี้ใครมันเล่นพิเรนทร์เอาศพมาวางไว้กลางห้องหํะ"

"เอาไงดี ต่อไปไปดูสาเหตุที่เจ้าเครื่องนี่มันยังทำงานไหม? ที่ห้องพลังงานยานน่าจะมีอุปกรณ์ยุคเก่าอยู่คงขายให้พวกนักสะสมได้" Franchetti ชักชวน

Dutch ยืนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจ “พวกเราไปตรวจสอบ Aether Reactor กันดีกว่า” เขากล่าว น้ำเสียงหนักแน่นพร้อมแววแห่งความสงสัย “เราอาจเจอของมีค่าเพิ่มเติมระหว่างทาง”

"เอาสิ ยังไงกว่าโดรนของฉันจะย้ายมัมมี่พวกนี้ไปก็ต้องใช้เวลาสักพัก ไปดูห้องเครื่องยนต์รอกันดีกว่า"



ซากมัมมี่ของเนวิเกเตอร์


Dutch และเพื่อนๆ เดินไปตามทางในยาน ผิวของยานถูกปกคลุมด้วยฝุ่นและสนิม บางส่วนของโครงสร้างมีรอยแตกและรอยบุบที่บ่งบอกถึงการต่อสู้หรืออุบัติเหตุในอดีต เมื่อพวกเขาเข้าไปในยาน ภายในยิ่งดูน่ากลัวมากขึ้น แสงไฟกระพริบเป็นระยะๆ และเสียงเครื่องจักรที่ทำงานผิดปกติทำให้บรรยากาศยิ่งน่าขนลุก พวกเขาเดินผ่านทางเดินแคบๆ ที่เต็มไปด้วยสายไฟและท่อที่หลุดออกมา จนกระทั่งมาถึงห้องเครื่อง ห้องเครื่องเต็มไปด้วยเครื่องจักรที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการดูแลมานานหลายปี เครื่องยนต์หลักตั้งอยู่ตรงกลางห้อง มีคราบและสนิมเกาะอยู่ทั่วตัวเครื่อง บางส่วนของเครื่องยนต์มีรอยแตกและชิ้นส่วนที่หลุดออกมา แต่ Dutch และเพื่อนๆ ก็ยังเห็นว่ามันมีศักยภาพที่จะนำมาใช้ได้

"ถึงมันจะดูเก่าแต่ก็น่าจะดีกว่าของเครื่องปัจจุบันของเราอยู่นะ ปรับปรุงหน่อยไม่น่ามีปัญหาอะไร" Dutch หันไปมองเพื่อนๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีที่พวกเขาคุ้นเคย เครื่องยนต์ก็คือเครื่องยนต์ ไม่ใช่เทคโนโลยีประหลาดที่เอาชิ้นส่วนวาฬอวกาศไปใส่โหลแล้วต่อสายไฟ พวกเขาใช้เวลาพักหนึ่งในการถอดเรื่องยนต์ออกมาโดยไม่มีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นแบบรอบที่แล้ว

"ดีแล้วที่ไม่มีอะไรผิดปกติ" Dutch ที่กำลังโล่งใจที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างถอดเครื่องพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย "งั้นเดี่ยวข้าเอาเครื่องกลับไปเก็บที่ยานก่อน ถ้าพวกเอ็งจะไปทำอะไรก่อนก็ติดต่อมาล่ะกัน"

“นึกว่าของในยุคก่อนจะเจ๋งกว่านี้ซะอีก แต่ก็ว่าไม่ได้อุปกรณ์เทคโนโลยียิ่งเวลาผ่านไปของเก่าก็มักสู้ของใหม่ไม่ได้” Franchetti บ่นก่อนหันไปบอก Dutch “ถ้าจะเปลี่ยนกับของที่เราใช้อยู่ก็ต้องไปสักท่าอวกาศหรือดาวใกล้ๆก่อนล่ะนะเปลี่ยนบนอวกาศเลยมันค่อนข้างเสี่ยง” ก่อนที่ Franchetti จะเดินไปดูพวกอาวุธในการยิงวาฬต่อ “ขอไปดูพวกอาวุธล่าวาฬสักหน่อยนะเผื่อไอ้หนูของเราจะมีอาวุธคู่ใจกับเขาสักที”

"อย่าเพ้อเจ้อน่า บีแบพเป็นยานส่งของจะเอาอาวุธมาติดได้ยังไงกัน หรืออยากจะโดนพวก Bastion Front ล่าจนไม่มีที่ยืนละ ใบอนุญาตยานยนต์ของเราอยู่ในคลาสรับจ้างขนส่งนะ แต่ถ้าเอาไปขายก็ว่าไปอย่าง" Guillermo แย้ง "ฉันสนใจห้องเย็นมากกว่า คิดว่าในนั้นจะมีชิ้นส่วนLeviathanจากยุคก่อนเก็บแช่แข็งเอาไว้ไหมนะ"

ฉมวกล่าวาฬที่ว่าคือ Rail Gun ที่ใช้ฉมวกแทนกระสุน ขนาดของมันใหญ่กว่าที่คิด (แหงสิ ฉมวกยิงวาฬนะโว้ย) นอกจากอุปกรณ์ rail gun มาตรฐาน ด้านข้างยังมีสายไฟเชื่อมยังอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง มีป้ายเขียนติดไว้ว่า "อุปกรณ์สลาย L.P. Field" และอย่างที่ Guillermo ว่าไว้ นอกจากปัญหาเรื่องใบอนุญาต อุปกรณ์นี้ยังมีขนาดใหญ่และอุปกรณ์ต่อพ่วงที่ซับซ้อนกว่าปืนใหญ่พลังงานหรือ Rail Gun ปกติเสียอีก

ส่วนในห้องเย็นนั้นดูเหมือนว่ามันยังคงทำงานอยู่ อากาศยังคงเย็นยะเยือก แต่ที่หน้าห้องมีขึ้นแจ้งเตือนว่าห้องเย็นใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ในการทำงาน มองผ่านๆเข้าไปพวกคุณเห็นชิ้นส่วนกระดูกบางส่วนกระจัดกระจาย และถังบรรจุไขมันLeviathan แต่ดูเหมือนเนื้อหนังและอวัยวะสำคัญๆจะไม่อยู่แล้ว คาดว่าคงมีการขนย้ายออกตอนอพยพออกจากเรือเมื่อหลายร้อยปีก่อน แต่อย่างไรเสียไขมันและกระดูกก็เป็นของที่ขายได้ และอาจเป็นที่มุ่งหมายของนักสะสมหรือนักวิจัย เพราะในยุคนี้ไม่มีการล่าLeviathanแล้ว

"พวกเอ็งสำรวจห้องที่เหลือหมดหรือยังนะ ข้าเอาเครื่องยนต์มาเก็บแล้ว ถ้าไม่มีอะไรพวกเราจะได้เดินทางต่อเสียที" Dutch เร่งเพื่อนๆ

“น่าเสียดาย ถ้าเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กก็คงยังพอติดตั้งเพื่อใช้ในการป้องกันทั่วไปได้ แต่นี่มาซะใหญ่ยักษ์เลย” หลังจากได้ยินเสียง Dutch เร่งเขาจึงตะโกนตอบ “เสร็จแล้วล่ะ สำรวจแต่ละห้องเรียบร้อย ได้กระดูกกับไขมันขัดรองเท้ามา ว่ากันตามตรงก็น่าจะขายได้เยอะเลย ทริปนี้คืนทุนตั้งแต่ยังไม่ถึงที่หมายด้วยซ้ำมั้งเนี่ย”

"งั้นก็กลับยานของเรากันเถอะ ซากมัมมี่ก็ขนขึ้นยานเราครบแล้ว อยากจะลองไปแสกนแล้วผ่าชันสูตรสักร่าง เผื่อจะได้รู้อะไรเกี่ยวกับสาเหตุการตายก็ของพวกเขาบ้าง" Guillermo พูด

“ดูพวกเครื่องยนต์อะไรเรียบร้อยแล้วไม่น่าเป็นปัญหาอะไร Dutch ถ้าแกหายเบลอจากยาแล้วก็จัดต่อได้เลย ทางนี้พร้อมแล้ว” Franchetti บอกสถานะของยานให้คนในกลุ่มทราบหลังจากตรวจสอบผ่านคอมพิวเตอร์พกพา เขาไม่ลืมฝากให้ AI ช่วยคำนวนวิถีดาวเคราะห์น้อยเพื่อให้ปลอดภัยจากเศษหินทั่วไป

“งั้นผมขอเอาเครื่องสลาย L.P. Field บรรทุกเพิ่มไปด้วยได้มั๊ย มันเป็นอุปกรณ์ต่อพ่วงฉมวก ขนาดไม่ใหญ่มาก” อาฮับพูดขึ้นพลางเข้าไปด้อมๆมองๆแถวอุปกรณ์ ขนาดมันประมาณโมโนลิธที่เขาพกมาด้วย มีสายไฟต่อไม่มากนัก “สิ่งนี้ใช้สลายม่านพลังของLeviathanได้”

เมื่อ Dutch ได้ยินเพื่อนๆพูดแบบนั้น เขาก็ทำการเตรียมยานเพื่อเตรียมตัวเดินทางทันที "จะทำอะไรก็รีบทำเถอะอยู่ที่นี้นานๆ ข้าว่าไม่น่าจะดีแน่นอนไม่รู้จะมีตัวอะไรออกมาหรือเปล่า"

เมื่อทุกคนกลับขึ้นยานต่างคนต่างก็เตรียมกิจกรรมที่ตัวเองอยากทำ สรุปกิจกรรมที่ลูกเรือเสนอได้ดังนี้

  1. ชันสูตรมัมมี่ หาสาเหตุการตาย
  2. ติดตั้ง Monolith สำหรับสแกนวาฬอวกาศเข้ากับ AI

หมอ Guillermo ได้ตรวจสอบมัมมี่ร่างหนึ่งซึ่งนำกลับมาจากเรือล่าวาฬและเริ่มชันสูตร นี่คือข้อมูลที่เขาได้รับ

  • ผลจากการสแกนย้อนกลับของ Med bot ไม่พบบาดแผลจากภายนอก
  • พบว่าเส้นประสาทส่วนที่ใช้รับรู้ความรู้สึกส่วนใหญ่ฝ่อลง รวมทั้งส่วนที่เป็นการควบคุมอวัยวะแบบอัตโนมัติก็ล้มเหลว
  • ตรวจสอบสมองพบการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสมองและรอยหยัก มีรอยหยักหนาแน่นและลักษณะลวดลายแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป ความสมบูรณ์อยู่ในระดับดี (โดยเฉพาะกับมัมมี่อายุหลักร้อยปี)
  • ไม่พบร่องรอยของเชื้อโรค ทั้งแบบรุกรานหรือที่มีอยู่ตามปกติในร่างกาย และไม่พบไวรัสใดๆ เหมือนร่างกายถูกฆ่าเชื้อแบบหมดจด
  • สาเหตุการตาย : คาดว่าเกิดจากการเสื่อมของเส้นประสาทจนทำให้อวัยวะภายในทำงานไม่สัมพันธ์กัน ร่วมกับการที่แบคทีเรียที่จำเป็นหายไปจนหมด

"ว่าไง Doc เจออะไรบ้างมั้ย " Dutch โผล่หน้ามาถามด้วยความสงสัยใคร่รู้

"แปลกมาก... มัมมี่นี่ดูสะอาดเกินไป ฉันไม่พบสิ่งมีชีวิตระดับไมครอนอาศัยอยู่บนตัวมัมมี่เลย จริงๆมันก็ไม่แปลกหรอกที่มัมมี่จะไม่มีแบคทีเรียเกาะอยู่ เพราะศพเหล่านี้มักถูกดองเอาไว้ ในกรณีนี้ก็ถูกแช่เอาไว้ในความเย็นยะเยือก เชื้อจะตายหมดก็ไม่แปลก เหมือนพวกปลาสดๆที่ถูกแช่เย็นจัดจนเชื้อแซลโมเนล่าตายก็เลยกินดิบได้ แต่สิ่งที่มันแปลกก็คือ...เหมือนพวกแบคทีเรียจะหายไปก่อนที่เขาจะกลายเป็นมัมมี่เสียอีก ซึ่งก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุของการตาย นอกจากนั้นระบบประสาทของมัมมี่ตัวนี้ยังดูเหมือนถูกใช้งานอย่างหนัก โดยเฉพาะศูนย์รวมระบบประสาทอย่างสมอง โดยปกติคนเราจะใช้สมองเพียง 10% เท่านั้น ส่วนอีก 90% จะใช้กับระบบอัตโนมัติของร่างกายไม่ว่าจะกระพริบตา หายใจ ปั๊มเลือด แต่สมองของมัมมี่ตนนี้ดูเหมือนจะถูกดึงศักยภาพออกมาใช้สูงถึง 80% เลยทีเดียว พูดง่ายๆว่าศพนี่ดูไม่เหมือนศพของมนุษย์ แต่เป็นอีกขั้นนึงของมนุษยชาติมากกว่า จะเรียกว่า เมต้า โฮโม เซเปียน ก็ได้ละมั้ง" Guillermo วิเคราะห์ผล

"แล้วศพ พวกนนี้เราเอามันไปขายพวกสถานีวิจัยสักที่ได้มั้ยนะ ฟังจากนายแล้วก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่พวกนักวิจัยยน่าจะชอบ" Dutch ถามเกาหัวแกรกๆ

"แน่นอน ฉันรู้จักคนที่ต้องการซื้อของแบบนี้อยู่ ตอนนี้ก็เอาไปไว้ห้องแช่เย็นก่อนก็แล้วกัน" แพทย์ประจำยานตอบด้วยรอยยิ้มของพ่อค้ามากประสบการณ์


-To be Continued-

Comments