Skip to main content

Featured

[Replay] [Play by Posts] 2400 Cosmic Highway : The Delivery EP 3

  โครงกระดูก Leviathan ที่ยังหลงเหลืออยู่ใน Leviathan Crossing Link to Replay Part 1 Link to Replay Part 2 Replay Part 3 ในขณะที่ Dutch กับ Guillermo กำลังคุยกันเรื่องมัมมี่ Franchetti ที่ทิ้งวิชาชีวะวิทยาไปตั้งแต่ 9 ขวบได้เตรียมการต่อ Monolith เข้ากับ AI จำลองของบีแบพแล้ว “ที่เหลือก็แค่ Launch แล้วอยากมาดูด้วยกันรึเปล่า?” Franchetti เรียกเพื่อนๆมาดูโชว์ DEUS EX MACHINA "นี่คงไม่ได้ต่อเข้ากับ AI ที่เป็น Copilot ของยานใช่ไหม? หวังว่าจะใช้ Server ส่วนตัวมาทดสอบนะ จะได้ปิดสวิตช์มันได้ถ้ามีอะไรผิดพลาด" "Fran มันไม่น่าโง่ขนาดนั้นมั้ง Doc" "ได้ยินนะเฟ้ย AI ยานก็ AI ยานไม่ยุ่งอยู่แล้ว นี่ของจำลองเหมือนเอาวัวที่เราดูดจาก E-69 ไปปล่อยที่ดาวเคราะห์ Rule-31 ไง เข้าใจคร่าวๆไหม?" Franchetti อธิบายพลางทำไม้ทำมือประกอบ "ถ้าคุณพร้อมก็เริ่มการทำงานของมันได้เลย ผมเองก็อยากจะเห็นเหมือนกัน" Guillermo ชูมือให้สัญญาณ Franchetti เริ่มทำการ Launch เชื่อม Monolith ที่ได้มาใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสงสัยว่าเจ้าสิ่งนี้จะแสดงอะไรออกมาให้เห็น ส่วน Dutch ยืนเคี้ยว Protei...

A Little History of Philosophy : Nigel Warburton


ปก A Little History of Philosophy ฉบับ e-book


หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับอะไร

อย่างเช่นที่ชื่อหนังสือบอก A little history of philosophy เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ปรัชญาฉบับย่อ เล่าเรื่องราวของหัวข้อถกเถึยงทางปรัชญาจากนักปรัชญาทั้งหลายตั้งแต่ยุคกรีกโบราณจวบจนปัจจุบันโดยสังเขปให้พอรู้ว่าตั้งแต่อดีตนั้นมนุษย์เราถกเถึยงเรื่องอะไรกันบ้าง แม้ไม่ครอบคลุมทุกหัวข้อแต่ก็พอให้เห็นภาพรวมของข้อสงสัยเหล่านั้น ทั้งชีวิตที่มีความสุขคืออะไร, คนเราควรอยู่ร่วมกันแบบไหน, ศีลธรรมคืออะไร, มนุษย์เรามีเจตนำนงค์อิสระหรือไม่ ฯลฯ

ลักษณะการเขียน

หนังสือเล่าเรื่องแบบเรียงตามลำดับเวลาตามประวัติศาสตร์ ซึ่งถ้าหากรู้จักการแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ยุโรปก็จะทำให้พอเข้าใจบริบทแวดล้อมและเข้าใจว่าทำไมคนในยุคนั้นๆถึงคิดอะไรแบบนั้นออกมา

ยุคกรีกโบราณ (ก่อนคริสตกาล) 

เล่าเรื่องราวของสามนักคิดผู้เลื่องชื่อแห่งกรีกโบราณ โสเครตีส - เพลโต - อริสโตเติล ซึ่งความคิดของพวกเขาเหล่านี้ได้กลายมาเป็นพื้นฐานและผลิดอกออกผลเป็นปรัชญาแบบที่เราเห็นอยู่ในยุคปัจจุบัน ทั้งวิธีการคิดเพื่อเข้าถึงปัญญา (โสเครตีส), ความจริงแท้ - อุดมคติ (เพลโต) และการแสวงหาความสุขที่แท้จริง (อริสโตเติล) ซึ่งพออ่านไปเรื่อยๆจะเริ่มเข้าใจว่าทำไมหลายๆคนจึงบอกว่าการจะเข้าใจปรัชญาตะวันตกต้องรู้จักเพลโตเสียก่อน

ยุคกลาง (Madieval) 

ที่คริสตจักรเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของผู้คน คำถามเรื่องศีลธรรมและการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้ากลายมาเป็นหัวข้อหลักในการถกเถียง พอพ้นจากยุคกลางและยุคมืดก็มาถึงยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ (Renaissance) ที่มีการพูดถึงเรื่องของการเมืองการปกครองมากขึ้น (แนวคิดเรื่องของ Order - Liberty) รวมทั้งการตั้งคำถามเกี่ยวกับการรับรู้โลกของมนุษย์ (คล้ายแนวคิดทางฝั่งปรัชญาตะวันออกเกี่ยวกับการปรุงแต่งของจิต) ส่วนแนวคิดเรื่องความสุขที่แท้ก็ยังมีให้เห็นบ้างประปราย

ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจนถึงยุคสงครามโลก 

เป็นยุคที่เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดในวิถีชีวิตของผู้คนโดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมมาเป็นสังคมอุตสาหกรรม ปรัชญาในยุคนี้จะยึดโยงอยู่กับตัวมนุษย์,โครงสร้างทางสังคมและการดำรงชีวิตมากกว่าการถกเถียงกันเรื่องชะตากรรมหรือพระผู้เป็นเจ้า เป็นยุคที่เราจะคุ้นชื่อของนักปรัชญาหลายคนทั้ง มาร์กซ์กับแนวคิดคอมมิวนิสต์ที่พูดถึงการต่อสู้ระหว่างชนชั้นแรงงานและนายทุน, นีทเช่ เจ้าของวลี “พระเจ้าตายแล้ว” ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับค่านิยมและศีลธรรมโดยศาสนา, ฟรอยด์กับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ฯลฯ ซึ่งพออ่านแล้วก็จะพอเข้าใจแนวคิดหลายๆอย่างที่ยังคงถูกพูดถึงอย่างแพร่หลาย เรียกได้ว่าแนวคิดเหล่านี้กลายเป็นพื้นฐานของโลกในยุคปัจจุบันก็คงไม่ผิดนัก เป็นช่วงในหนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกว่าเข้าถึงและมีอารมณ์ร่วมมากกว่ายุคอื่น ทั้งประเด็นเรื่องอิสรภาพและราคาของอิสรภาพ, เรื่องของ Moral Dilemma ต่างๆ, เรื่องแนวคิดของความยุติธรรมในการร่างกฏหมาย และจุดเริ่มต้นของการถกเถียงว่าเครื่องจักรสามารถคิดได้หรือไม่ในยุคของอลัน ทัวริ่ง ซึ่งแนวคิดเรื่อง A.I. ก็เริ่มมาจากยุคนี้

บทส่งท้าย : ปรัชญาในยุคปัจจุบัน

สำหรับบทสุดท้าย เราคิดว่ามันเป็นข้อสรุปที่มี Impact ต่อผู้อ่านมาก มันคือการทำให้เราเข้าใจว่าทำไมจึงมีคำเปรียบเปรยว่านักปรัชญานั้นคล้ายแมลงหวี่ที่คอยมาตอมสร้างความหงุดหงิดรำคาญ ซึ่งเราที่เป็นคนในยุคปัจจุบันที่ข้อถกเถียงในอดีตหลายเรื่องได้คลี่คลายและกลายเป็นกรอบความคิดปกติไปแล้ว เราจึงรับรู้แต่ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ในบทสุดท้ายที่ชื่อ “Modern Gadfly” จึงได้นำเสนอประเด็นถกเถียงเชิงปรัชญาในยุคปัจจุบันที่ยังไม่คลี่คลายมานำเสนอ เป็นแนวคิดบางอย่างที่เราอาจยังไม่สามารถยอมรับหรือว่าเห็นพ้องด้วยได้ทั้งหมด ซึ่งพอได้อ่านจึงระลึกได้ว่านี่อาจเป็นความรู้สึกของคนที่ถูกโสเครตีสตั้งคำถามแปลกๆในสมัยกรีกโบราณก็เป็นได้ ความรู้สึกรำคาญปะปนกับความรู้สึกว่าสิ่งที่เชื่อมั่นมาตลอดกำลังสั่นคลอน นับเป็นบทปิดที่ทำให้เราได้รู้สึกและเข้าใจถึงการทำงานของปรัชญาที่เป็นมาตลอดสองพันกว่าปีที่ผ่านมานี้ได้อย่างสมบูรณ์

บทสรุป

หนังสือนี้อาจไม่ได้ช่วยทำให้เราเข้าใจพวกแนวคิดต่างๆลึกซึ้งขึ้น แต่มันช่วยให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติของความสงสัยใคร่รู้และความไม่รู้ของตัวเราเอง ทุกครั้งที่อ่านเจอแนวคิดที่เราเคยขบคิดมาก่อนแต่หาคนคุยด้วยไม่ได้ก็ทำให้รู้สึกเหมือนเจอเพื่อนที่เข้าใจเรา บอกเราว่าไอ้เรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้มีแต่เราที่คิดไปเองคนเดียวหรอกนะ และก็ไม่แปลกที่เราจะไม่รู้หรือไม่รู้สึกตะขิดตะขวงในบางเรื่องและรู้สึกคันรู้สึกรำคาญเมื่อจำเป็นต้องรับรู้แนวคิดใหม่ๆซึ่งขัดแย้งกับกรอบความคิดเดิมของเรา ซึ่งอย่างหลังนี้เองที่ทำให้เรากล้าที่ทำความเข้าใจกับสิ่งใหม่ๆที่อยู่นอกเหนือกรอบความคิด รวมทั้งกล้าที่จะตั้งคำถามและตรวจสอบความถูกต้องของความคิดความเข้าใจเดิมๆของเรา

อย่างที่โสเครตีสเคยได้กล่าวไว้ ว่าปัญญานั้นแท้จริงแล้วคือความเข้าใจถึงธรรมชาติที่จริงแท้ของการดำรงอยู่ของตัวเรา

Comments